ยินดีต้อนรับ

Asst. Prof. Dr.Natdhnond Sippaphakul

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2567

พระพุทธศาสนาและความเป็นมาของชนชาติไทย ฉบับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล






คำนำ

            ท่านทั้งหลาย พวกเราส่วนใหญ่ ต่างก็ได้เรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย และเรื่องราวของพระพุทธศาสนา มาจากการเขียนของนักประวัติศาสตร์และโบราณคดี ซึ่งเป็นการศึกษาแบบทางโลก ที่ศึกษาค้นคว้ามาจากหลักฐานที่ยังหลงเหลืออยู่ แล้วใช้วิธีสมมุติหรือคาดคะเน และหรือเทียบเคียงเอากับสิ่งที่คิดว่าใช่ ทั้งจากหลักฐานการบันทึกและโบราณวัตถุ จึงอาจได้รับรู้เรื่องราวทั้งจากความเป็นจริงเพียงส่วนหนึ่ง และความไม่เป็นจริงอีกจำนวนมาก ปะปนกันไป แต่ในอีกด้านหนึ่ง คือ การศึกษาจากทางธรรม จากพระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ขั้นพระอรหันต์ ผู้มีอาสวักขยญาณอันกว้างไกล ผู้มีความรู้เห็นทางในอันเป็นสิ่งอัศจรรย์เฉพาะตน ซึ่งเป็นความรู้เห็นเหนือปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่อาจเข้าถึงได้ ดังนั้น การศึกษาแบบทางธรรมนี้ ผู้ที่ปฏิบัติด้วยกันจะไม่ค่อยมีความกังขาเท่าใดนัก แต่สำหรับปุถุชนหรือสามัญชนคนทั่วไป อาจไม่เชื่อถือก็เป็นได้ จึงขอให้ทุกท่านพิจารณาด้วยเหตุด้วยผลกันเอาเองนะครับ

            ขอเจริญในธรรม
            ดร.นนต์ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล)
           13 กรกฎาคม 2558 


พระพุทธศาสนา
และความเป็นมาของชาวไทย
โดยพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร
(บันทึกโดย หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ)

             จากเกร็ดประวัติและปกิณกธรรมของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ๕ จากหนังสือ "รำลึกวันวาน" โดยหลวงตาทองคำ จารุวัณโณ ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้มีผู้นำมาโพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดบันเทิงธรรม กระทู้ ๑๙๑๕๓ โดย : ภิเนษกรมณ์ เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๔๙ ดังมีข้อความบางตอนต่อไปนี้....


การครองผ้า - สีผ้า

           ท่านพระอาจารย์เล่าว่า  การครองผ้าแบบพาดบ่าข้างเดียว แล้วมีผ้ารัดอกนั้น เป็นพระราชบัญญัติชั่วคราว ตราขึ้นก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตกประมาณ 100 ปี สาเหตุมีสงครามติดพัน รบกันบ่อยครั้งกับทหารพม่า พวกจารกรรมพม่าแต่งตัวเป็นพระเข้ามาสืบราชการลับ รบคราวใดแพ้ทุกที ผิดสังเกต พระพม่ามักเข้ามาในกองทัพ ไทยคิดว่าเป็นพระไทยจึงรบแพ้ จึงตราพระราชบัญญัติขึ้นมา ให้พระไทยห่มอย่างว่านั้น พระพม่าที่เข้ามา ก็คือจารบุรุษนั่นเอง ไม่ใช่พระ เมื่อศึกสงครามเลิกแล้ว ก็ยกเลิกพระราชบัญญัติด้วย แต่สมัยนั้นการคมนาคมไม่สะดวก คำสั่งไม่ทั่วถึง จึงถือกันมาจนบัดนี้

           เรื่องสีผ้านั้น ท่านพระอาจารย์เล่าว่า สีผ้านั้นพระวินัยกล่าวไว้อย่างชัดเจน คือ สีกรัก สีเหลืองหม่น สีเหลืองคล้ำ และสีอนุโลมอีกสองสี คือ สีเหลืองแก่ และสีมะเขือสุกแก่

           ท่านว่า ก่อนเราจะเสียกรุงให้พม่าประมาณ 100 ปี การรบราฆ่าฟันดูจะรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะสังเกตได้จากพระพักตร์ของพระพุทธรูป มีพระลักษณะเคร่งขรึม เข้มแข็ง เอนเอียงไปทางดุร้าย ซึ่งหมายถึง ใจเตรียมพร้อมรับศึกอยู่ตลอดเวลา หากเกิดมีการรบกัน


การฟื้นฟูศาสนาในประเทศไทย


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

           เรื่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 นี้ ท่านปรารภหลายวาระหลายสถานที่ ท่านพระอาจารย์เล่าว่า สมัยหนึ่ง เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ที่พระเชตวัน พระพุทธเจ้าทรงปรารภถึงความชราภาพของพระองค์ทั้งสองว่า

          "ตถาคตและพระองค์ก็ย่างเข้าสู่วัยชราแล้ว ไม่ช้าตถาคตก็จะปรินิพพาน และก็เช่นกัน พระองค์ก็จะเสด็จสวรรคต ตถาคตไม่กลับมาสู่ภพนี้อีก ส่วนพระองค์เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร และเป็นพระสหายของตถาคต ยังต้องกลับมาสร้างบารมีต่อ ถ้าคราวใดศาสนาของตถาคตเสื่อมลง ขอพระองค์ทรงกลับมาฟื้นฟูด้วย"

           ต่อมาไม่นาน พระโอรสวิฑูฑภะก่อการกบฏขึ้นในแผ่นดิน พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จหนีไปยังแคว้นมคธ เพื่อขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าอชาตศัตรู แต่พระองค์เสด็จไปไม่ทัน ประตูเมืองถูกปิดลงเสียก่อน ด้วยความชราภาพและเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง พระองค์ก็เสด็จสวรรคตอย่างเดียวดาย ไร้ญาติขาดมิตร ที่ศาลาที่พักคนเดินทางนอกประตูเมือง นี่แหละหนอ สังสารวัฏ มีเบื้องต้นและที่สุด อันใครๆ ก็ตามไปรู้ไม่ได้

           พระพุทธเจ้าคงจะทรงเห็นเหตุอันนี้ จึงตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลอย่างนั้น ท่านพระอาจารย์เล่าว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็คือ พระเจ้าปเสนทิโกศล นั้นเอง ที่มาทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาเมื่อถึงจุดนั้น

            พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นนักเสริมสร้าง นักฟื้นฟู นักบูรณะ นักปฏิสังขรณ์ ทรงทำสิ่งที่ชำรุดให้ดีขึ้น ทำสิ่งที่ผิดจากของเดิมให้เข้าสู่ที่เดิม ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนการซ่อมบำรุงวัตถุใช้งานที่เสื่อมสภาพ ให้มีสภาพใช้งานได้เหมือนเดิม ผู้เล่าจะไม่กล่าวโครงสร้างฟื้นฟู เพราะประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้มากแล้ว จะกล่าวเฉพาะผลงานด้านการศึกษา การพระศาสนา และการปกครองแผ่นดิน ภาษาอังกฤษก็ตรัสได้เป็นคนแรกของชาวไทย ภาษาบาลีก็เป็นพระมหาเปรียญ ทรงรจนาพระคาถาและพระปริตรต่างๆ ไว้มาก มีอรรถรสอันลึกซึ้ง และทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์สาขาดาราศาสตร์ติดอันดับโลก

           การปรับปรุง เสริมสร้าง บูรณะปฏิสังขรณ์ พระพุทธศาสนาให้เจริญก้าวหน้า ทั้งด้านการศึกษา การปกครอง การปฏิบัติ จนเป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบันนี้ มีสาเหตุและปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะภัยแห่งสงครามเป็นภัยใหญ่

           ท่านพระอาจารย์เล่าว่า ก่อนเราจะเสียกรุงให้แก่พม่าประมาณ 100 ปี การรบราฆ่าฟันดูจะรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะสังเกตได้จากพระพักตร์ของพระพุทธรูป มีพระลักษณะเคร่งขรึม เข้มแข็ง เอนเอียงไปทางดุร้าย ซึ่งหมายถึง ใจของชาวอยุธยาเตรียมพร้อมรับศึกอยู่ตลอดเวลา หากเกิดมีการรบติดกันเกิดขึ้น ชายทุกคนต้องเป็นทหารออกรบ หญิงทั้งสาวทั้งแก่ก็ต้องร่วมออกรบ ส่งเสบียง ไถนา ดำนาสารพัด แม้แต่พระสงฆ์ก็คงจะระส่ำระสายช่วยอยู่ด้านหลัง จนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาแตก

           ความเป็นผู้แพ้มีแต่ทุกข์กับทุกข์ เจ็บป่วยจากการเหน็ดเหนื่อยในสงครามเอย บาดแผลจากคมหอกคมดาบเอย อดอยากเอย ซากศพทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชายหญิง ทั้งตายเก่าตายใหม่ เรื่องเหล่านี้คือเหตุแห่งความเสื่อมของศาสนา ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเริ่มมาฟื้นฟู

           ทุกท่านยอมรับผลงานของพระองค์ ว่าตามความจริงในปัจจุบัน การศึกษา การปกครอง การปฏิบัติ ล้วนเป็นผลงานของพระองค์ การศึกษาวิทยาการทางพระพุทธศาสนาก็ดี การปกครองคณะสงฆ์ก็ดี การปฏิบัติตามพระพุทธบัญญัติทรงพระวินัยก็ดี การเจริญแสวงหาวิเวกเดินรุกขมูลธุดงค์ก็ดี พระองค์ทรงทำเป็นแบบอย่าง ครบถ้วนสมบูรณ์ พอเป็นตัวอย่างให้คนรุ่นหลังได้ แม้ท่านพระอาจารย์มั่นก็ยอมรับว่าได้แบบอย่างมา รองจากครั้งพุทธกาล ก็มีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้ เป็นแบบฉบับตลอดมา

           เมื่อครั้งพระองค์เสด็จจาริกธุดงค์ จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่สุโขทัย ไปตามฝั่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ค่ำที่ไหนก็ปักกลดพักตามชายทุ่งชายป่า ใกล้อุปจารคาม เจริญสมณธรรม หากมีชาวบ้านมาฟังธรรม ก็แสดงธรรมให้ฟัง ให้ได้ประโยชน์ทั้งตน ผู้อื่น และพระศาสนาไปพร้อมๆ กัน

          พอถึงสุโขทัย กำลังหาที่พัก ชาวบ้านก็มากราบถวายพระพรว่า มีดอนแห่งหนึ่งเป็นดอนศักดิ์สิทธิ์ ปกติชาวบ้านไม่ยินยอมให้เข้าไป เพราะเคยมีพระเข้าไป แล้วแสดงกิริยาไม่เหมาะสมต่อสถานที่นั้น ทำให้ชาวบ้านเจ็บป่วยเดือดร้อน แต่พระองค์ทรงรับรองกับชาวบ้านว่า นี้คือเจ้าของป่าดอนนั้น หากมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น พระองค์จะตายแทน ชาวบ้านก็ยินยอม อาราธนานิมนต์พระองค์ไปพัก เดินจงกรมเจริญสมณธรรมที่นั่น พระองค์ได้ไปพบหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงโดยบังเอิญ ขากลับทรงนำกลับมาไว้ที่กรุงเทพฯ

          นี้คือตัวอย่างการออกจาริกธุดงค์กัมมัฏฐาน ที่ทรงทำเป็นแบบอย่างมาจนทุกวันนี้

           (พระเจ้าปเสนทิโกศล เป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับลัทธพยากรณ์แล้วว่า ภายหน้าจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นลำดับที่ 3 เมื่อนับพระเมตไตรย เป็นลำดับที่1 และจะมีพระนามว่า พระธรรมราชา - ภิเนษกรมณ์)


บุคลิกพิเศษของท่านพระอาจารย์


พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

            ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นผู้มีปฏิปทามักน้อย สันโดษ ไม่ระคนด้วยหมู่ แสวงหาวิเวก ปรารภความเพียร ตั้งแต่วันบรรพชาอุปสมบท จนกระทั่งวาระสุดท้าย เรียกว่าครบบริบูรณ์ เหมือนกับว่า เมื่อมีเหตุก็ต้องมีผล ผล คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ อันนี้เป็นผลของความมักน้อย สันโดษ ไม่ระคนด้วยหมู่ แสวงหาวิเวก ปรารภความเพียร ท่านพระอาจารย์มั่น ทำได้สม่ำเสมอ ตั้งแต่เบื้องต้นแห่งชีวิต จนกระทั่งบั้นปลายชีวิต

           ธุดงควัตรของท่าน คือ บิณฑบาตเป็นวัตร ฉันมื้อเดียวเป็นวัตร ฉันในบาตรเป็นวัตร ใช้ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ผู้ที่จะไปถวาย ถ้าเป็นจีวรสักผืนหนึ่ง ผ้าสบง ผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม เรียกว่าผ้าก็แล้วกัน ถ้าจะถวายท่าน เขามักจะไปวางไว้ที่บันไดบ้าง วางใกล้ๆ กุฏิของท่านบ้าง วางตรงทางเดินไปห้องน้ำบ้าง ท่านเห็นก็บังสุกุลเอา บางผืนก็ใช้ บางผืนก็ไม่ได้ใช้ ผู้ไม่รู้อัธยาศัยไปถวายกับมือ ท่านจะไม่ใช้

            ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นพระนักปฏิบัติ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม ในยุค 2,000 ปี เป็นสาวกที่มีลักษณะสมบูรณ์แบบ ด้วยลักษณะภายนอกและภายใน เพราะเหตุนั้นชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์เกียรติคุณของท่าน จึงขจรขจายถึงทุกวันนี้ แทนที่จะเป็น 60 ปีแล้วก็เลือนหายไป กลับเพิ่มขึ้นๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพราะบุคลิกของท่านนั้น เป็นบุคลิกที่สมบูรณ์แบบ ในความรู้สึกของผู้เล่า ท่านพระอาจารย์มั่น เป็นบุคคลน่าอัศจรรย์ในยุคนี้

           ขอให้ท่านสังเกตดูในรูปภาพ คิ้ว คาง หู ตา จมูก มือ และเท้า ตลอดชีวิตของท่านนั้น ท่านเดินทางข้ามเขาไปไม่รู้กี่ลูก จนเท้าพอง ไม่ใช่เท้าแดงหรือเท้าเหลือง

            คิ้ว ท่านมีไฝตรงระหว่างคิ้ว ลักษณะคล้ายกับพระอุณาโลมของพระพุทธเจ้า ไฝอันนี้เป็นจุดดำเล็กๆ ไม่ได้นูนขึ้นมา มีขนอ่อน 3 เส้น ไม่ยาวมาก และโค้งหักเป็นตัวอักษร ก เป็นเส้นละเอียดอ่อนมาก ถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็น ขณะท่านปลงผมจะปลงขนนี้ออกด้วย แต่จะขึ้นใหม่ในลักษณะเดิมอีก

           ใบหูของท่าน มีลักษณะหูยาน จมูกโด่ง แววตาของท่านก็เหมือนแววตาไก่ป่า บางคนอาจไม่เคยเห็นไก่ป่า คือ เป็นวงแหวนในตาดำ มือของท่านนิ้วชี้จะยาวกว่า แล้วไล่ลงมาจนถึงนิ้วก้อย นิ้วเท้าก็เหมือนกัน

          หลวงปู่หล้าท่านก็เคยเล่าว่า เวลาล้างเท้าหลวงปู่มั่น เห็น ฝ่าเท้าของท่านเป็นลายก้นหอย 2 อัน และมีรอยอยู่กลางฝ่าเท้า เหมือนกากบาท เวลาท่านเดินไปไหน ท่านเดินก่อน สานุศิษย์จะไม่เหยียบรอยท่าน พอท่านเดินผ่านไปแล้ว ชาวบ้านจะไปมองดู จะเห็นเป็นลายตารางปรากฏอยู่ทั้งสองฝ่าเท้า

           รอยนิ้วเท้าก็เป็นก้นหอยเหมือนกัน จะเรียกก้นหอยหรือวงจักรก็ได้ มีอันใหญ่กับอันเล็ก 2 อัน เป็นลักษณะพิเศษของท่าน (หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร วัดป่านาสีดา อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ได้เล่าเสริมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ขณะหลวงปู่จันทร์โสมพักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือนั้น ได้ถวายการนวดหลวงปู่มั่น เมื่อท่านหลับแล้ว หลวงปู่ได้พลิกดูฝ่ามือของหลวงปู่มั่น พบว่า มีเส้นกากบาทเต็มฝ่ามือทั้งสองข้าง และมือท่านก็นิ่มมาก)

           บุคคลทุกระดับ เมื่อเข้าไปถึงท่านแล้ว ท่านจะเป็นกันเองมาก คุยสนุกสนานเหมือนคนรู้จักกันมานาน แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า บุคคลที่มักจะเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ ท่านจะไม่ค่อยเป็นกันเองเท่าไหร่ ถามคำไหนได้คำนั้น ถ้าไม่ถามท่านก็นั่งเฉย

           ท่านพระอาจารย์มั่นเคยพูดว่า

           "ผู้ที่จะมาศึกษาธรรมะกับเรา จะเป็นญาติโยมก็ดี หรือเป็นพระสงฆ์ก็ดี ขอให้เก็บหอกเก็บดาบไว้ที่บ้านเสียก่อน อย่านำมาที่นี่ อยากมาปฏิบัติ มาฟังเทศน์ฟังธรรม ถ้านำหอกนำดาบมา จะไม่ได้ฟังเทศน์ของพระแก่องค์นี้"

           แม้กระทั่งเด็กที่ไม่รู้เดียงสา ป.2-3-4 ท่านก็ทำเป็นเพื่อนได้ ในความรู้สึกของผู้เล่าผู้อยู่ใกล้ชิด เวลาท่านอยู่กับเด็ก กิริยาของท่านก็เข้ากับเด็กได้ดี เพราะฉะนั้นความโดดเด่นของท่าน ใครเข้าไปแล้วกลับออกมาก็อยากเข้าไปอีก ใครได้ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้ว กลับออกมาก็อยากฟังอีก

           อันนี้ คืออานิสงส์ที่ท่านตั้งปณิธานว่า ข้าพระองค์ขอปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างพระองค์ หลังจากที่ได้ฟังพระพุทธเจ้าเทศนาจนจบ จึงได้ตั้งปณิธานเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า คือ องค์สมณโคดมนี้ (ขณะนั้นท่านพระอาจารย์มั่น เป็นเสนาบดีแห่งแคว้นกุรุ - ภิเนษกรมณ์) หลังจากนั้น ก็เวียนว่ายตายเกิดจนชาติปัจจุบันมาเป็นท่านพระอาจารย์มั่น

           ทีนี้ทำไมท่านจึงละความปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพิจารณาแล้ว รู้สึกว่าตัวเรานี้ปรารถนาพุทธภูมิจึงมาสร้างบารมี ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ เขาคิดอยู่ในใจเหมือนกับเรานับไม่ถ้วน ผู้ที่ออกปากแล้วเหมือนกับเราก็นับไม่ถ้วน ผู้ที่ได้รับพระพุทธพยากรณ์แล้วก็นับไม่ถ้วน และผู้ที่จะมาตรัสรู้ข้างหน้ามีอีกหลายองค์ เช่น พระศรีอริยเมตไตรย พระเจ้าปเสนทิโกศล กว่าจะถึงวาระของเรา มันจะอีกนานเท่าไหร่ เราขอรวบรัดตัดตอนให้สิ้นกิเลสในภพนี้เสียเลย ท่านพิจารณาเช่นนี้ จึงได้ละความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า


อริยวาส อริยวงศ์

            เรื่องมีอยู่ว่า สมัยที่ผู้เล่าอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นที่บ้านหนองผือ มีชาวกรุงเทพมหานครไปกราบนมัสการ ถวายทานฟังเทศน์ และได้นำกระดาษห่อธูปมีเครื่องหมายการค้ารูปตราพระพุทธเจ้า (บัดนี้รูปตรานั้นไม่ปรากฏ) ตกหล่นที่บันไดกุฏิท่าน พอได้เวลาผู้เล่าขึ้นไปทำข้อวัตร ปฏิบัติท่านตามปกติ พบเข้าเลยเก็บขึ้นไป พอท่านเหลือบมาเห็น ถามว่า "นั่นอะไร"

            "รูปพระพุทธเจ้าขอรับกระผม"

            ท่านกล่าว "ดูสิคนเรานับถือพระพุทธเจ้า แต่เอาพระพุทธเจ้าไปขายกิน ไม่กลัวนรกนะ"

            แล้วท่านก็ยื่นให้ผู้เล่า บอกว่า "ให้บรรจุเสีย"

           ผู้เล่าเอามาพิจารณาอยู่ เพราะไม่เข้าใจคำว่า "บรรจุ" จับพิจารณาดูพระพักตร์เหมือนแขกอินเดีย ผู้เล่าอยู่กับท่านองค์เดียว ท่านวันยังไม่ขึ้นมา

           ท่านพูดซ้ำอีกว่า "บรรจุเสีย"

           "ทำอย่างไรขอรับกระผม"

           "ไหนเอามาซิ"

           ยื่นถวายท่าน ท่านจับไม้ขีดไฟมาทำการเผาเสีย และพูดต่อว่า

           "หนังสือธรรมะสวดมนต์ที่ตกหล่นขาดวิ่นใช้ไม่ได้แล้ว ก็ให้รีบบรรจุเสีย กลัวคนไปเหยียบย่ำ จะเป็นบาป"

           ผู้เล่าเลยพูดไปว่า "พระพุทธเจ้าเป็นแขกอินเดียนะกระผม"

           ท่านตอบ "หือ คนไม่มีตาเขียน เอาพระพุทธเจ้าไปเป็นแขกหัวโตได้"

           ท่านกล่าวต่อไปว่า

           "อันนี้ ได้พิจารณาแล้วว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย พระอนุพุทธสาวกในยุคพุทธกาล ตลอดถึงยุคปัจจุบัน ล้วนแต่ไทยทั้งนั้น ชนชาติอื่น แม้แต่สรณคมน์และศีล 5 เขาก็ไม่รู้ จะเป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร ดูไกลความจริงเอามากๆ เราได้เล่าให้เธอฟังแล้วว่า ชนชาติไทย คือ ชาวมคธ รวมรัฐต่างๆ มีรัฐสักกะ เป็นต้น หนีการล้างเผ่าพันธุ์มาในยุคนั้น และชนชาติพม่า คือ ชาวรัฐโกศล เป็นรัฐใหญ่ รวมทั้งรัฐเล็กๆ จะเป็นวัชชี มัลละ เจติ เป็นต้น ก็ทะลักหนีตายจากผู้ยิ่งใหญ่ด้วยโมหะ อวิชชา มาผสมผสานเป็นมอญ (มัลละ) เป็นชนชาติต่างๆ ในพม่าในปัจจุบัน"

            (พระพุทธเจ้าเป็นคนไทย ในความหมายนี้ หมายถึงพระพุทธเจ้าและคนไทยเป็นเชื้อสายเดียวกัน : ความเห็นของ ดร.นนต์)

             "ส่วนรัฐสักกะใกล้กับรัฐมคธ ก็รวมกันอพยพมาสุวรรณภูมิ ตามสายญาติที่เดินทางมาแสวงโชคล่วงหน้าก่อนแล้ว"

             ผู้เล่าเลยพูดขึ้นว่า "ปัจจุบัน พอจะแยกชนชาติในไทยได้ไหม ขอรับกระผม"

             "ไม่รู้สิ อาจเป็นชาวเชียงใหม่ ชาวเชียงตุงในพม่าก็ได้"

             ขณะนั้นท่านวันขึ้นไปพอดี ตอนท้ายก่อนจบ ท่านเลยสรุปว่า

             "อันนี้ (หมายถึงตัวท่าน) ได้พิจารณาแล้ว ทั้งรู้ทั้งเห็นโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น"

            ผู้เล่าพูดอีกว่า "แขกอินเดียทุกวันนี้คือพวกไหน ขอรับกระผม"

            ท่านบอก "พวกอิสลามที่มาไล่ฆ่าเราน่ะสิ"

             "ถ้าเช่นนั้นศาสน์พราหมณ์ ฮินดู เจ้าแม่กาลี การลอยบาปแม่น้ำคงคา ทำไมจึงยังมีอยู่ รวมทั้งภาษาสันสกฤตด้วย"

            "อันนั้นเป็นของเก่า เขาเห็นว่าดี บางพวกก็ยอมรับเอาไปสืบต่อๆ กันมาจนปัจจุบัน ส่วนพวกเรา พระพุทธเจ้าสอนให้ละทิ้งหมดแล้ว เราหนีมาอยู่ทางนี้ พระพุทธเจ้าสอนอย่างไรก็ทำตาม"

            ท่านยังพูดคำแรงๆ ว่า "คุณตาบอดตาจาวหรือ เมืองเรา วัดวา ศาสนา พระสงฆ์ สามเณร เต็มบ้านเต็มเมืองไม่เห็นหรือ" (ตาบอดตาจาว เป็นคำที่ท่านจะกล่าวเฉพาะกับผู้เล่า)

            "แขกอินเดีย เขามีเหมือนเมืองไทยไหม ไม่มี มีแต่จะทำลาย โชคดีที่อังกฤษมาปกครอง เขาออกกฎหมายห้ามทำลายโบราณวัตถุ โบราณสถาน แต่ก็เหลือน้อยเต็มที ไม่มีร่องรอยให้เราเห็น อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย ตัวเธอเองนั่นแหละ ถ้าได้ไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวอินเดีย จ้างเธอก็ไม่ไปเกิด"

            "ของเหล่านี้นั้น ต้องไปตามวาสตามวงศ์ตระกูล อย่างเช่น วงศ์พระพุทธศาสนาของเรานั้น เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยตระกูล เป็นวงศ์ที่พระพุทธเจ้าจะมาอุบัติ คุณแปลธรรมบทมาแล้ว คำว่า ปุคฺคลฺโล ปุริสาธญฺโญ ลองแปลดูซิว่า พระพุทธจะเกิดในมัชฌิมประเทศ หรืออะไรที่ไหนก็แล้วแต่ จะเป็นที่อินเดีย หรือที่ไหนก็ตาม ทุกแห่งตกอยู่ในห้วงแห่งสังสารวัฏฏ์ ถึงวันนั้นพวกเราอาจจะไปอยู่อินเดียก็ได้"

           "พระพุทธเจ้าทรงวางพุทธศาสนาไว้ จะเป็นระหว่างพุทธันดรก็ดี สุญญกัปปก็ดี ที่ไม่มีพระพุทธศาสนา แต่ชนชาติที่ได้เป็นอริยวาส อริยวงศ์ อริยประเพณี อริยนิสัย ก็ยังสืบต่อไปอยู่ ถึงจะขาด ก็ขาดแต่ผู้ได้สำเร็จมรรคผลเท่านั้น เพราะว่าจากบรมครู ต้องรอบรมครูมาตรัสรู้ จึงว่ากันใหม่"

           ผู้เล่าได้ฟังมาด้วยประการฉะนี้แล


ความเป็นมาของชาวไทย


พระปฐมเจดีย์

            พระปฐมเจดีย์ เป็นเจติยสถานที่ตั้งอยู่ในประเทศสุวรรณภูมิ ที่เรียกว่า "แหลมทอง" คือประเทศไทยในปัจจุบัน

            ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า เมื่อครั้งมีการทำสังคายนาครั้งที่ 3 นั้น พิเศษคือ มีพระมหากษัตริย์ทรงพระปรีชาสามารถอันกว้างไกล เห็นว่า พระพุทธศาสนามารวมเป็นกระจุกอยู่ที่ชมพูทวีป หากมีอันเป็นไปจากเภทภัยต่างๆ พระพุทธศาสนาอาจสูญสิ้นก็ได้ จึงมีพระประสงค์จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศ สำหรับพระสงฆ์สายต่างๆ ผู้เล่าจะไม่นำมากล่าว จะกล่าวเฉพาะที่มายังสุวรรณภูมิประเทศ ตามที่ท่านพระอาจารย์เล่าให้ฟัง

            ท่านที่เป็นหัวหน้ามาสุวรรณภูมิคราวนั้น ตามประวัติศาสตร์ที่ได้จารึกไว้ คือ ท่านพระโสณะ และท่านพระอุตตระ

            การส่งพระสงฆ์ไปประกาศพุทธศาสนาคราวสังคายนาครั้งที่ 3 นั้น อย่าเข้าใจว่า จัดแจงบริขารลงในบาตรและย่าม ครองผ้าเสร็จก็ออกเดินทางได้ ต้องมีการจัดการเป็นคณะมากพอสมควร รวมทั้งพระสหจร และสามเณร อุบาสก อุบาสิกา ด้วยเป็นกระบวนใหญ่ การเดินทางรอนแรมระยะไกลไปต่างประเทศ พระสงฆ์ผู้เป็นหัวหน้า และสหจร ท่านคงมีสายญาติ และญาติโยมผู้เคารพนับถือตามไปด้วย คงไม่ปล่อยให้ท่านเหล่านั้น เดินทางไปลำบาก ต้องมีคณะติดตามเพื่อจะได้คอยช่วยเหลือหุงหาเสบียงอาหารในระหว่างเดินทาง อีกอย่างหนึ่ง หากพบภูมิประเทศที่เหมาะสม ก็ตั้งถิ่นฐานแสวงโชคอยู่ที่สุวรรณภูมิประเทศได้ จึงได้พากันมาเป็นกระบวนใหญ่

           ชนชาติเจ้าของถิ่นเดิม ที่อาศัยอยู่ในสุวรรณภูมิประเทศมีอยู่แล้ว แต่คงไม่มาก หากมีอันตรายจากสัตว์ร้าย และเภทภัยต่างๆ มาย่ำยีเบียดเบียน การป้องกันก็ลำบาก เพราะกำลังไม่พอ นครปฐมคงเป็นที่รวมชุมชน กระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และนักแสวงโชคจากชมพูทวีป คงเอาที่นั้นเป็นจุดเริ่มต้น ชาวสุวรรณภูมิก็คงได้ยินกิตติศัพท์เช่นกัน จึงต้อนรับด้วยความยินดี

            การเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็ดี การแสวงโชคของญาติโยมที่ตามมาก็ดี ได้รับการสนับสนุนด้วยดี ประกอบกับผืนแผ่นดินก็กว้างใหญ่ไพศาลอุดมสมบูรณ์ ชาวประชาถิ่นเดิมก็ยอมรับนับถือพระรัตนตรัย และศีล5 มีการสร้างวัดถวาย คงเป็นวัดพระปฐมเจดีย์เดี๋ยวนี้ ส่วนนักแสวงโชคก็คงประกอบสัมมาอาชีพไปตามความสามารถ และปฏิบัติพระสงฆ์ไปด้วยพร้อมๆ กัน นี้คือชนชาวชมพูทวีปที่ได้เข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นครั้งแรก

            นักแสวงโชคเหล่านั้น เมื่อประสบโชคแล้ว แทนที่จะหยุดอยู่แค่นั้น ก็นึกถึงญาติๆ ทางชมพูทวีป กลับไปบอกข่าวสารแก่ญาติๆ จึงมีการอพยพย้ายถิ่นฐานตามกันมาอีก

            ลุศักราชประมาณ 500 ถึง 900 ปี หลังพุทธปรินิพพาน อาเพศเหตุร้ายก็เริ่มเกิดขึ้น เนื่องจากชนชาติชาวเปอร์เซีย ในปัจจุบัน คือ แถบตะวันออกกลาง เกิดมีลัทธิอย่างหนึ่งขึ้นมา ในปัจจุบันคือ ศาสนาอิสลาม ได้จัดขบวนทัพอันเกรียงไกร รุกรานเข้าสู่ชมพูทวีป คือ ประเทศอินเดียในปัจจุบัน อินเดียสมัยนั้น มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งอาศัยของชาวชมพูทวีปทั้ง7รัฐ รวมทั้งชาวศากยวงศ์ของพระองค์ อยู่ด้วยกันฉันท์พี่น้อง การเตรียมรบจึงไม่เพียงพอ เมื่อกองทัพอันเกรียงไกรยกเข้ามา การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบสิ้นชาติก็เกิดขึ้น การหนีตายอย่างทุลักทุเลของรัฐเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร มหาวิทยาลัยนาลันทาเอย พระเวฬุวันเอย พระเชตวันเอย บุพพารามเอย รวมทั้งพระสงฆ์เป็นหมื่นๆ ประวัติศาสตร์ก็ได้จารึกไว้แล้ว ตายเป็นเบือราบเรียบเป็นหน้ากลอง

           ชาวรัฐโกศล และรัฐเล็กรัฐน้อย เช่น ลิจฉวี มัลละ ก็ทะลักเข้าสู่ดินแดนชเวดากอง คือ พม่า มอญ ไทยใหญ่ ในปัจจุบัน ชาวมคธรัฐ มีเมืองราชคฤห์เป็นราชธานี ก็หนีตามสายญาติที่เดินทางมาก่อนแล้ว มุ่งสู่สุวรรณภูมิ รวมทั้งรัฐเล็กรัฐน้อย มีรัฐสักกะ โกลิยะ และอื่นๆ ก็ติดตามมาด้วย แยกเป็นสองสาย สายหนึ่งไปทางโยนกประเทศ คือ รัฐฉาน ปัจจุบันอยู่ในพม่า และเลยไปถึงมณฑลยูนนานของประเทศจีน

           รัฐใหญ่ในครั้งพุทธกาล คือ รัฐมคธ เป็นไทยในปัจจุบัน รัฐโกศล คือ พม่า (เมียนมาร์ในปัจจุบัน) ท่านพระอาจารย์เล่าว่า พม่าและไทย พระพุทธเจ้าทรงโปรดและตรัสสอนเป็นพิเศษ สองประเทศนี้จึงมีพระพุทธศาสนาที่มั่นคงมายาวนาน และจะยาวนานต่อไป แต่พม่าเป็นเมืองเศรษฐีอุปถัมภ์ สมัยเป็นชาวโกศล ก็มีคหบดี คือ ท่านอนาถบิณฑิกะและนางวิสาขาเป็นผู้อุปถัมภ์ แต่ไทยมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก พิเศษกว่าพม่า

            ชาวพม่ามีอุปนิสัยทุกอย่าง โดยเฉพาะความซื่อสัตย์ เหมือนคนไทย เป็นมิตรคู่รักคู่แค้น จะฆ่ากันก็ไม่ได้ จะรักกันก็ไม่ลง ท่านว่าอย่างนี้ สมัยพุทธกาล รัฐมคธมีปัญหาอะไรก็ช่วยกัน บางคราวก็รบกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ มาเป็นไทยเป็นพม่า ก็รบกัน ประวัติศาสตร์ก็จารึกไว้แล้ว

           ส่วนพระปฐมเจดีย์นั้น ผู้เล่ากราบเรียนถามท่านพระอาจารย์ ท่านตอบว่า คงจะสร้างเป็นอนุสรณ์การนำพระพุทธศาสนามาสู่สุวรรณภูมิเป็นครั้งแรก ฟังแต่ชื่อก็แล้วกัน ปฐมก็คือที่หนึ่ง คือ พระเจดีย์องค์แรก ท่านกล่าวต่อไปว่า คงบรรจุพระธาตุพระอรหันต์รวมทั้งพระบรมสารีริกธาตุด้วย เมื่อมีการบูรณะแต่ละครั้ง ผู้จารึกเรื่องราว มักบันทึกเป็นปัจจุบันเสีย ประวัติศาสตร์เบื้องต้นจึงไม่ติดต่อ ขาดเป็นขั้นเป็นตอนว่า คนนั้นสร้างบ้าง คนนี้สร้างบ้าง แล้วแต่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น

            คำพูดแต่ละยุค มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย ย้อนถอยหลังกลับไป คำว่า ประเทศพม่า คนไทยจะไม่รู้จัก รู้จักพม่าว่า เมืองมัณฑะเลย์หรือหงสาวดี และคนพม่าก็จะไม่รู้จักคำว่า ประเทศไทย จะรู้จักไทยว่า เมืองอโยธยา เรื่องราวเหล่านี้ ผู้เล่าได้ฟังมาจากท่านพระอาจารย์มั่น และพระอาจารย์ชอบ

           ต่อไปจะได้เล่าเรื่องชนชาวไทย ชนชาวลาว

           ท่านพระอาจารย์เล่าว่า ชาวลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ก็คือชาวนครราชคฤห์ หรือรัฐมคธ เช่นเดียวกับชาวไทย ไทยและลาวจึงเป็นเชื้อชาติเดียวกัน แต่หนีตายจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มาคนละสาย ลาวเข้าสู่แดนจีน จีนจึงเรียกว่า พวกฮวน คือ คนป่าคนเถื่อนที่หนีเข้ามา โดยชาวจีนไม่ยอมรับ จึงมีการขับไล่เกิดขึ้น (ประวัติศาสตร์ไทยเขียนไว้ว่า ไทยมาจากจีน เห็นจะเป็นตอนนี้กระมัง)

             ความจำเป็นเกิดขึ้น จึงมีการต่อสู้แบบจนตรอก ถอยร่นลงมาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ตามสายญาติ คือ ไทย สู่สิบสองจุไทย สิบสองปันนา หนองแส และแคว้นหลวงพระบาง ปัจจุบันก็ยังมีคนไทยตกค้างอยู่

           พอถอยร่นลงมาถึงนครหลวงพระบาง เห็นว่าปลอดภัยแล้ว และภูมิประเทศก็คล้ายกับนครราชคฤห์ จึงได้ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นั่น และอยู่ใกล้ญาติที่สุวรรณภูมิด้วย คือ นครปฐม เป็นพวกที่มาตั้งอยู่ก่อน และพวกที่เข้ามาตอนหนีตายคราวนั้น

           การสร้างบ้านแปลงเมืองเป็นมาโดยราบรื่น โดยให้ชื่อว่า "กรุงศรีสัตตนาคนหุต" (เมืองล้านช้าง) จนถึงพระเจ้าโพธิสารเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์มีราชโอรส 2 พระองค์ ชื่อเสียงท่านไม่ได้บอกไว้ พอเจริญวัย พระเจ้าโพธิสารทรงเห็นว่า เมืองปัจจุบันคับแคบ มีภูเขาล้อมรอบ ขยายขอบเขตยาก การเกษตรกรรมทำนาไม่เพียงพอ และเพื่อเป็นการขยายอาณาจักรด้วย จึงส่งราชโอรสองค์ใหญ่ ไปตามลำแม่น้ำโขง มาถึงเวียงจันทน์ จึงได้ตั้งบ้านเรือนขึ้น มีเมืองหลวงชื่อว่า "กรุงจันทบุรีศรีสัตตนาคนหุต"

          ส่วนพระราชโอรสองค์น้อง ได้ไปตามลำน้ำน่าน มาตั้งบ้านเมืองอยู่ที่สุโขทัย โดยมีเมืองหลวง ชื่อว่า "กรุงสุโขทัย" ท่านพระอาจารย์แปลให้ฟังด้วยว่า "สุโขทัย" แปลว่า "ไทยเป็นสุข" เหตุที่อยู่ที่นี้เพราะปัจจัยในการครองชีพเอื้ออำนวย และใกล้ญาติทางนครปฐม ไปมาหาสู่ก็สะดวก ท่านว่าอย่างนี้

          นครปฐมก็มีเมืองหลวง คือ "ทวาราวดีศรีอยุธยา" ที่เรียกว่า ยุคทวาราวดี นั่นเอง เวียงจันทน์จึงเป็นพระเจ้าพี่ สุโขทัยเป็นพระเจ้าน้อง นครปฐม สุโขทัย หลวงพระบาง เวียงจันทน์ ก็คือ ชนชาติชาวราชคฤห์ในครั้งพุทธกาลนั่นเอง

           การอพยพหนีตายคราวนั้น บางพวกลงเรือข้ามทะเล ไปขึ้นฝั่งที่นครศรีธรรมราชก็มี ซึ่งมีพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชเป็นสักขีพยานว่า ชาวใต้ทั้งหมดก็เป็นชนชาติรัฐมคธในครั้งพุทธกาล เหมือนกันกับชาวพม่า มอญ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ ก็คือ ชาวโกศล ในครั้งพุทธกาลนั้นเอง


พระอรหันต์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

           ท่านพระอาจารย์เล่าว่า พระอริยบุคคลในยุครัชกาลที่ 4 คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งเป็นพระโอรสของรัชกาลที่ 4 นั้นเอง เป็นองค์แรก

           ท่านเป็นพระอริยบุคคลโสดาบัน ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่กรุงราชคฤห์ เทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร พระสหาย เพื่อปลดเปลื้องคำปฏิญญาที่พระพุทธเจ้าได้ให้ไว้ เมื่อเสด็จออกผนวชครั้งแรก (พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงพบพระโพธิสัตว์สิทธัตถะเมื่อทรงออกผนวชแล้ว และได้ตรัสปฏิญญาว่า "ถ้าพระองค์ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอจงเสด็จมาที่แว่นแคว้นของหม่อมฉันก่อน" พระโพธิสัตว์สิทธัตถะทรงรับปฏิญญาของพระเจ้าพิมพิสารไว้ -ภิเนษกรมณ์)

           พระชาติปัจจุบันของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ เป็นชาติที่ 7 ชาติสุดท้าย ทรงแตกฉานในจตุปฏิสัมภิทาญาณ อย่างสมบูรณ์แบบในยุคนี้

           ท่านพระอาจารย์ยกตัวอย่าง ความสามารถที่ไม่มีใครเทียบสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ว่า แต่ก่อนพวกบัณฑิตที่เรียนบาลี คือ มูลกัจจายน์คัมภีร์ สนธิ-นาม ต้องเรียนถึง 3 ปี จึงแปลบาลีออก สมเด็จฯ ทรงรจนาบาลีไวยกรณ์ให้กุลบุตรเล่าเรียน ในปัจจุบัน 3 เดือน ก็แปลหนังสือบาลีออก นั่นอัศจรรย์ไหมท่าน

           ท่านพระอาจารย์เล่าต่อไปว่า เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงรจนาวินัยมุขเล่ม 1 หลักสูตรนักธรรมตรี จิตของพระองค์กำหนดวิปัสสนาญาณ 3 ที่กล่าวมาแล้ว คือ สัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ ได้บรรลุชั้นสกิทาคามี

           ต่อมาพระองค์เสด็จประพาสสวนหลวง เมืองเพชรบุรี ทรงรจนาธรรมวิจารณ์ พระหฤทัยของพระองค์ก็บรรลุพระอนาคามี

           พระองค์ทรงมีภาระมาก ดูจะทรงรีบเร่งเพื่อจัดการศึกษา และปฏิบัติสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ประกอบกับสุขภาพของพระองค์ ก็อย่างที่พวกเราเห็นในพระฉายาลักษณ์นั้นเอง ดูจะทรงงานมาก ผอมไป และยุคนั้นการแพทย์ก็ไม่เจริญ แต่พระองค์ก็บำเพ็ญกรณียกิจ จนเข้ารูปเข้ารอย จนพวกเราสามารถจะประสานต่อไปได้ พระองค์ทรงพิจารณาเห็นสังขารของพระองค์ ว่าไปไม่ไหวแล้ว จึงเร่งวิปัสสนาญาณ สำเร็จพระอรหันต์เข้าสู่พระนิพพาน

           นี่คือคำบอกเล่าของท่านพระอาจารย์มั่นที่ผู้เล่าได้ฟังมา


ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

           เรื่องนี้เกิดขึ้นที่วัดป่าอำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร มีพระภิกษุรูปหนึ่งเป็นผู้อุปัฏฐากใกล้ชิด ชื่อ คำดี ซึ่งเป็นน้องชายของพระอาจารย์สิม พุทธาจาโร ท่านเป็นคนช่างพูด มักถามนั่นถามนี่กับท่านพระอาจารย์ ผู้เล่าเป็นผู้ช่วยอุปัฏฐาก ไม่ค่อยพูดจา เพราะขณะนั้นยังใหม่อยู่

          วันหนึ่ง ท่านคำดีได้พูดปรารภขึ้นว่า "ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านี้ น่าอัศจรรย์ กระผมอ่านพุทธประวัติแล้ว ขนลุกชูชัน"

          ท่านพระอาจารย์ก็รับว่า "จริงอย่างนั้น อันนี้(หมายถึงตัวท่าน)ได้พิจารณาแล้ว และได้อ่านพุทธประวัติที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงรจนาไว้เป็นแบบเล่าเรียนศึกษา พระองค์ทรงได้แย้มความมหัศจรรย์เอาไว้ตั้งแต่ทรงออกผนวชครั้งแรก จนถึงวันตรัสรู้ แต่ผู้ศึกษาไม่ซึ้งถึงพระประสงค์ของพระองค์ ว่าเป็นอย่างไร"

          ท่านว่า "อันนี้ ได้พิจารณาแล้ว สมเด็จฯ พระองค์ท่านเป็นจอมปราชญ์แห่งยุคสองพันกว่าปี ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ไม่มีปราชญ์ใดๆ เทียม"

          ท่านพระอาจารย์มั่น ยกย่องสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส องค์นี้ว่า เป็นพระสาวกผู้ทรงไว้ซึ่งจตุปฏิสัมภิทาญาณสมบูรณ์แบบ ในยุคพุทธศาสนาผ่านมาได้ 2,000 กว่าปี คือ พระองค์เดียวเท่านั้น

           ดูท่านพระอาจารย์จะยกย่องเอามากๆ ขนาดกล่าวว่า พระองค์ทรงรจนาหลักสูตรนักธรรมบาลี ให้กุลบุตรได้รับการศึกษา จากพระไตรปิฎกไม่ผิดเพี้ยน ทั้งย่อและพิสดารได้อย่างเข้าใจ ใช้ภาษาง่ายๆ และไพเราะมาก จะเป็นปัญญาชนหรือสามัญชนอ่าน ก็เข้าใจได้ทันที

            ท่านว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงพรรณนาความตอนพระพุทธเจ้าเสด็จออกบรรพชา อาการของพระมหาบุรุษปรากฏว่า ขณะที่บรรดาพระสนมทรงขับกล่อม บำเรอ ไม่ทรงเพลิดเพลิน แล้วทรงบรรทมหลับไป เมื่อตื่นบรรทม ทางเห็นอาการวิปลาสของพระสนมว่า บางคนมีพิณพาดอก บางคนตกอยู่ข้างรักแร้ เปลือยกาย สยายผม บ่นเพ้อพึมพำ น้ำลายไหล ปรากฏในพระหฤทัย เหมือนซากศพผีดิบในป่าช้า

            พระอาจารย์มั่นท่านว่า ขณะนั้นพระหฤทัยของพระองค์ พิจารณากิจในอริยสัจ 4 อย่าง พระองค์ทรงแสดงไว้ว่า สัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ จิตของพระองค์ก็ก้าวเข้าสู่อริยมรรค ต่อมาภายหลังทรงบัญญัติเรียกว่า อริยโสดาบัน จึงตัดสินพระทัยว่า เราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว จึงเสด็จออกผนวชในคืนนั้น ต่อจากนั้นก็เสด็จเข้าสู่มคธรัฐ เพื่อบำเพ็ญสมณธรรมต่อไป

            ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า ตอนไปทรงศึกษากับดาบสทั้งสองนั้น จิตของพระองค์ก็บรรลุมรรคที่สอง คือ สกิทาคามี

            ผู้เล่าสงสัยขึ้นในใจว่า แล้วอย่างนั้นการบรรลุธรรมครั้งที่สองของพระพุทธเจ้า จะไม่สมกับคำว่า "ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง" ดอกหรือ

           แต่ไม่ทันได้เรียนถาม ท่านแถลงก่อนว่า

           "ดาบสทั้งสองได้ฌานสมาบัติ 7-8 อรูปพรหมเท่านั้น แต่ท่านทั้งสองขาดวิปัสสนา ปัญญาญาณ ซึ่งไม่ใช่สิ่งอัศจรรย์สำหรับพระองค์ จึงเป็นครูของพระองค์ไม่ได้"

            ท่านพระอาจารย์ว่าอย่างนี้

            ท่านพรรณนาถึงพุทธประวัติไว้หลายวาระ จะนำมากล่าวสักสองวาระ

           พระอาจารย์มักพูดพลางหัวเราะด้วยความชอบใจ ในพระดำรัสของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ว่า ทรงกดพระตาลุด้วยพระชิวหา เมื่อลมอัสสาสะ ปัสสาสะ เดินไม่สะดวก ก็เกิดเสียงดังอู้ในช่องพระกรรณทั้งสอง ทำให้เกิดทุกขเวทนากล้าจนปวดพระเศียร เสียดในพระอุทร ร้อนในพระวรกายเป็นกำลัง ก็ยังไม่สามารถจะตรัสรู้ได้ จึงทรงเปลี่ยนวาระใหม่ โดยผ่อนพระกระยาหารลงจนไม่เสวยเลย จนพระวรกายผอมโซ ซูบซีด ขุมเส้นพระโลมาเน่า ทรงลูบเส้นพระโลมาก็หลุด เพราะขุมขนเน่า มีกำลังน้อย ทรงดำเนินไปมาก็เซล้ม มีผิวดำคล้ำ จนมหาชนพากันโจษขานกันไปต่างๆ นานา

           ก่อนท่านจะพูดต่อ ก็มีอาการยิ้ม หัวเราะ ออกเสียงพอเหมาะ ดูคล้ายท่านจะพอใจในพระดำรัสของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ว่า

           "มหาชนบางพวก พอเห็นก็กล่าวขวัญกัน ว่าทรงดำไปบ้าง บางพวกกล่าวว่าไม่ใช่ดำ คล้ำไปบ้าง บางพวกกล่าวว่า ไม่ใช่คล้ำ พร้อยไปบ้าง อย่างนี้ จนเหลือกำลังที่บุรุษไหนจะทำได้ แต่ก็ไม่ได้ตรัสรู้ จึงได้อุปมา 4 ข้อ ในพระหฤทัย ทรงเสวยพระกระยาหาร ทรงมีกำลัง"

           ท่านพระอาจารย์ว่า ตอนพระองค์ทรงเริ่มวิปัสสนาญาณ เป็นคำรบสาม พระหฤทัยของพระองค์ก็ทรงกระทำญาณ 3 คือ สัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ เหมือนสองวาระแรก จิตของพระองค์ก็ก้าวเข้าสู่มรรคที่สาม คือ อนาคามีมรรค

           ท่านเล่าว่า มหาบุรุษอย่างพระองค์ ทรงกระทำอะไรไม่สูญเปล่า

           อา....เรื่องสัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณนี้  ท่านอธิบายได้ละเอียดวิจิตรพิสดาร มาเชื่อมโยงตั้งแต่ เอเต เต ภิกขเวฯ มัชฌิมา ปฏิปทา ฯ ลฯ จนถึง ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธ ธัมมันติ ถึง อัญญาสิ วต โภ โกณฑัญโญ

           พระมหาบุรุษอย่างเจ้าชายสิทธัตถะ พระบารมีของพระองค์ทรงบำเพ็ญมาพอแล้ว ด้านปัญจวัคคีย์ก็เบื่อหน่าย หนีจากพระองค์ไป ความวิเวกก็เกิดขึ้น วันเพ็ญ เดือน 6 แห่งฤกษ์วิสาขะก็มาถึง นางสุชาดาจะแก้บน จึงถวายข้าวมธุปายาสในภาชนะซึ่งเป็นถาดทองคำ เพื่อให้มั่นพระทัย พระองค์จึงอธิษฐานลอยถาดทองคำในแม่น้ำเนรัญชราว่า

           "ถ้าจะได้ตรัสรู้ในวันนี้ ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำ"

คำข้าวมธุปายาสก็มี 49 คำพอดี พอจะรักษาพระวรกายของพระองค์ไปได้ตลอด 49 วัน ท่านพูดอย่างนี้

            เมื่อความพร้อมทุกอย่าง ความตรัสรู้ของพระองค์เป็นสัพพัญญุตัญญาณ อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ก็เกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6นี้แล โดยไม่มีใครมาแสดงอ้างว่าเป็นครูหรือเป็นศาสดาของพระองค์เลย

            ท่านพระอาจารย์มั่นบอกว่า

            "จู่ๆ มาถึงวันนั้น จะมาตรัสรู้เลยทีเดียวไม่ได้ พระองค์ได้พื้นฐานหลักประกันความมั่นคงแล้ว ตั้งแต่อยู่ในปราสาท วันเสด็จออกผนวชนั้นแล มิฉะนั้น เมื่อพระองค์ทรงกระทบกระทั่งต่อสัญญาอารมณ์ต่างๆ ในระหว่างทรงบำเพ็ญเพียร คงถอยหลังกลับไปเสวยราชสมบัติอีก เพราะเบื้องหลังของพระองค์ก็พร้อมอยู่ จึงถอยไม่ได้ เพราะมีหลักประกันแล้ว" ท่านอธิบายจนจบ

            ผู้เล่าเฉลียวใจว่า "ถ้าอย่างนั้น ยสกุลบุตร ก็คงสำเร็จมาจากปราสาทล่ะสิ"

            "ยสกุลบุตร เป็นไปไม่ได้ เพราะวิสัยอนุพุทธะ ต้องฟังก่อนจึงจะรู้ได้ ไม่เหมือนสัมพุทธะอย่างพระพุทธเจ้า"

            แล้วท่านยังเตือนผู้เล่าว่า "ปฏิบัติไปหากมีอะไรเกิดขึ้น จงใช้สติกับปัญญา สติกับปัญญา สติกับปัญญา" ย้ำถึง 3 ครั้ง

            "รับรองว่าไม่ผิดแน่ เพราะทุกวันนี้มีแต่ครูคือ พระธรรมวินัย ขาดครูคือ เจ้าของพระธรรมวินัย คือ บรมครู"

            ท่านว่าอย่างนี้

ขอขอบคุณ คุณภิเนษกรมณ์
ที่มา : http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-mun/lp-mun-hist-06-05.htm

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วัฒนธรรมสัญจร ณ เมียนมาร์ ดินแดนพุทธศาสนา 2552


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล



1. บทนำ 
    "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"

ท่านทั้งหลาย ท่านคงทราบกันแล้วว่า ในอดีตเมื่อครั้งสมัยพุทธกาล พระพุทธศาสนา เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในประเทศอินเดีย และในเวลาต่อมา ก็ได้แผ่ขยายมาสู่ประเทศไทย และอีกหลายๆประเทศในแถบเอเชีย จนในที่สุดพระพุทธศาสนา ก็เสื่อมความนิยมลงไปตามลำดับ แม้แต่ในอินเดีย อันเป็นดินแดนต้นกำเนิดแห่งพระพุทธศาสนา ก็เสื่อมลง จนแทบไม่หลงเหลือความเป็นต้นวงศ์ของพระพุทธศาสนา เพราะนี้คือ สัจธรรมของโลก ที่แสดงออกมาอย่างเที่ยงตรงในกฎไตรลักษณ์ ดั่งองค์พระสัมมาได้ตรัสรู้ไว้ดีแล้ว
แม้ในกาลปัจจุบัน จะล่วงเลยมาจนถึงช่วงกึ่งกลางพระพุทธศาสนาแล้วก็ตาม ธรรมชาติของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ยังดำเนินต่อไป แม้แต่ในประเทศไทย อันเป็นดินแดนพระพุทธศาสนา ที่ยังคงรุ่งเรืองสูงสุดในปัจจุบัน ก็เริ่มมีแนวโน้มที่จะเสื่อมลง ดังที่พ่อแม่ครูอาจารย์ ท่านบอกว่า ประเทศไทย พระพุทธศาสนา จะยังดำเนินไปได้อีกราวสองร้อยปี จึงจะอ่อนกำลังลง แล้วต่อไป ก็จะไปปรากฏความรุ่งเรืองในประเทศแถบรัสเซียและยุโรป หลังจากนั้นอีกนับพันปี จึงจะเบนไปสู่ประเทศอเมริกา แล้วในที่สุด ช่วงท้ายแห่งพุทธกาล พระพุทธศาสนา ก็จะกลับมาเจริญที่อินเดียอีกครั้ง (เรื่องนี้ รู้เห็นเป็นปัตจัตตัง เฉพาะองค์พ่อแม่ครูอาจารย์ โปรดใช้วิจารณญาณ)



ภาพวาดการสร้างวัดในพม่า


2. บทแห่งกรรม

ท่านทั้งหลาย ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปเยือนประเทศพม่า หรือเมียนมาร์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2552 ในฐานะศิษย์รุ่นพี่ของนิสิตปริญญาเอก สาขาศิลปวัฒนธรรมวิจัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร โดยการนำของคณะครูอาจารย์มี ศาสตราจารย์ ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ อธิการบดีในขณะนั้น รวมทั้งคณะผู้บริหาร และนิสิตปริญญาเอกจำนวนหนึ่ง คณะพวกเราได้จาริกท่องเที่ยวไป ศึกษาศิลปวัฒนธรรม และศาสนสถานสำคัญของพม่า ในสามเมืองใหญ่คือ ย่างกุ้ง หงสาวดี และพุกาม
สภาพทั่วไปของพม่าในเวลานั้น ประชาชนส่วนใหญ่ยากจน สภาพบ้านเมืองไม่ค่อยมีความเจริญเท่าใดนัก ผู้เขียนเอง ในฐานะเป็นนักภาวนา จึงอดที่จะคิดถึงเรื่องของผลกรรมไม่ได้ หรือนี่ จะเป็นผลกรรมมาจากการเผาบ้านเมืองของผู้อื่นในอดีต เผาแม้กระทั่งวัดวาอาราม แม้แต่พระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ ก็มิมีละเว้น เป็นการเผาหัวใจของตัวเอง เพราะพระพุทธศาสนา ก็เป็นศาสนาที่ตนเองนับถือ ก็เพราะด้วยความหลงในอำนาจ ไฟแห่งความหลง จึงร้อนลุ่มมาจนกระทั่งทุกวันนี้


ชาวเมียนมาร์ในเมืองพุกาม


แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อหวนกลับมาย้อนดูประเทศไทยในปัจจุบัน (2552) ก็คงไม่ต่างกัน เพราะผู้นำและประชาชนทุกฝ่าย กำลังหลง หลงในบางสิ่ง จนนำไปสู่ความวุ่นวาย ต่างแยกฝ่าย แยกพวก ไปร่วมกันสร้างกรรม กรรมดีหรือกรรมชั่วนั้นก็ไม่รู้ เพราะไม่สามารถแยกแยะออก ด้วยเพราะมีโมหะและโทสะจริต ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน จนลืมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อสร้างกรรมร่วมกันแล้ว กรรมนั้นก็จะไปบังเกิดขึ้นในกาลข้างหน้า อย่างซื่อสัตย์ซื่อตรง เรื่องนี้ องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ เคยปรารภกับผู้เขียนว่า
"ผู้ใด ไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น โดยเฉพาะสุจริตชน ให้เขาลำบากในการทำมาหากิน ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง ด้วยการปิดกั้นขวางทาง หรือทำลายวัตถุข้าวของ แลจิตใจของผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ หรือด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม กรรมนั้น ก็จะย้อนกลับไปขัดขวางการทำมาหากิน และความเจริญในทุกๆด้านของพวกเขา ทั้งในภพนี้และในภพกาลข้างหน้า อย่างแน่นอน ฉะนั้น หากมีบุญได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก พวกเขาก็จะเสวยวิบากกรรม และความทุกข์ที่ได้กระทำมานั้นทันที"


3. พระพุทธศาสนา ยังมั่นคงในความศรัทธาของชาวพม่า

ท่านทั้งหลาย เมียนมาร์หรือพม่า เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 40 ของโลก และใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน โดยมีประชากรกว่า 60 ล้านคน ในอดีต ประเทศพม่า เคยรุ่งเรืองคู่กันมากับประเทศไทย แต่เมื่อได้รับเอกราชใน พ.ศ. 2491 เป็นต้นมา ประเทศพม่าก็เผชิญกับหนึ่งในสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อที่สุด ท่ามกลางกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่มากมาย ซึ่งยังแก้ไม่ตก และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ถึง 2554 ประเทศพม่า ก็ตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหาร แม้ในช่วงหลังการเลือกตั้งทั่วไป ในปี พ.ศ. 2553 จะได้มีการตั้งรัฐบาลพลเรือนในนามแทน และคณะผู้ยึดอำนาจการปกครอง จะถูกยุบอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2554 ก็ตาม แต่ในปัจจุบัน ทหารก็ยังคงมีอิทธิพลมากอยู่เช่นเดิม

กระนั้นก็ตาม แม้ชาวพม่า จะตกอยู่ในสภาพความยากลำบาก ในการดำรงชีวิตอยู่อย่างยากจน แต่ความศรัทธา ในพระพุทธศาสนานั้น กลับเป็นที่พึ่งทางใจได้อย่างเหนียวแน่น ไปในที่ไหนๆ บนดินแดนพม่า ก็ยังปรากฏภาพวัดวาอารามมากมาย ชาวบ้านชาวเมือง ต่างก็พากันไปวัด ต่างก็ให้ความเคารพศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา แม้แต่รองเท้าก็ไม่สวมเข้าไปภายในบริเวณวัด ส่วนจิตใจของผู้คน ก็อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เห็นว่าจะเป็นคนบ้านป่าเมืองเถื่อน ตามที่ฝรั่งชาติตะวันตกสร้างวาทกรรม และสร้างภาพอันน่ากลัวไว้
ผู้เขียนเอง แม้ในขณะนั้น จะมีปัญญาธรรมเพียงน้อยนิด แต่เมื่อได้ไปเยือนถิ่นพระพุทธศาสนาแล้ว ก็อดไม่ได้ ที่จะถือโอกาสหาเวลา และสถานที่ เพื่อนั่งภาวนา แผ่จิตเมตตา ไปตามบุญวาสนา ที่มีอยู่ในขณะนั้น ก็ได้รับความสงบ และรู้สึกที่ดีต่อการมาเยือนประเทศนี้





พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง


4. พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง 


พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า จำนวน 8 เส้น ตามตำนานนั้นเล่าว่า มีพี่น้องพ่อค้า 2 คน ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์จึงประทานพระเกศามา 8 เส้น แก่พ่อค้าทั้งสองไว้บูชา ว่ากันว่าเจดีย์ชเวดากองนั้น สร้างเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่า สร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6-10 โดยชาวมอญ ต่อมาพระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้าง จนมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 พระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18 เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมีความสูง 98 เมตร ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 15 แผ่นดินไหวเล็กๆน้อยๆ หลายครั้ง จึงทำให้พระเจดีย์ได้รับความเสียหาย และเมื่อปี พ.ศ. 2311 ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนัก จึงทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา ในช่วงปี พ.ศ. 2552 เจดีย์ก็ได้รับการบูรณะอย่างที่เห็นในภาพอีกครั้ง







พระบรมสารีริกธาตุ พระเจดีย์ และพระพุทธรูปหยกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ กรุงย่างกุ้ง


5. กรุงหงสาวดี นครแห่งอดีตพระนเรศวรมหารา

ท่านทั้งหลาย ประเทศพม่าก็เหมือนกับประเทศต่างๆ ที่มีอยู่บนโลกสมมุติใบนี้ คือ การมีเมืองหลวงและเมืองสำคัญ ผลัดเปลี่ยนเวียนกันเจริญขึ้น แล้วก็เสื่อมลงเป็นธรรมดา กรุงหงสาวดีเมืองหลวงเก่าของพม่า ที่คนไทยรู้จักกันดีก็เช่นกัน ไม่ต่างกันกับกรุงศรีอยุธยา ที่เหลือไว้แต่ตำนานของเมืองเก่า ที่เคยเจริญรุ่งเรืองสุดขีดมาแล้ว
กรุงหงสาวดี (Handawaddy) หรือ พะโค เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของอาณาจักรหงสาวดี ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำพะโค ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเมาะตะมะ ทางตอนใต้ของประเทศพม่า และอยู่ทางใต้ของเมืองแปร, เมืองคัง, ยะไข่, อังวะ และพุกาม เมืองหงสาวดีเดิม เป็นเมืองของชาวมอญมาก่อนในอดีต ก่อนที่พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้จะยึดครองได้ ในปี พ.ศ. 2082 ต่อมาจึงได้สถาปนาเป็นศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ตองอู

ต่อมาเมืองหงสาวดี ได้เจริญรุ่งเรืองสุดขีดในรัชสมัยของพระเจ้าบุเรงนอง เนื่องจากพระองค์ให้ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์ ที่ชื่อ กัมโพชธานี ซึ่งนับเป็นพระราชวังใหญ่โต มีประตูทางเข้าออกถึง 10 ประตู โดยการเกณฑ์ข้าทาสจากเมืองขึ้นต่างๆ มาสร้าง โดยหนึ่งในนั้น มีเมืองเชียงใหม่และอยุธยารวมอยู่ด้วย จนถึงสมัยพระเจ้านันทบุเรง หลังศึกยุทธหัตถีแล้ว นัดจินหน่องได้ผูกมิตรกับเมืองยะไข่และอยุธยา เพื่อเข้าตีหงสาวดี แต่มหาเถรเสียมเพรียมได้ยุยงให้ตองอูไม่เข้ากับอยุธยา ดังนั้น เมื่อทัพตองอูมาถึงหงสาวดี ก็ได้เข้าตีและล้อมเมืองเอาไว้ เมื่อทางหงสาวดีทราบข่าวว่า พระนเรศวรปราบทหารตามแนวชายแดนสำเร็จแล้ว จึงเปิดประตูเมืองรับทัพตองอู พระเจ้านันทบุเรง มอบสิทธิ์ขาด ในการบัญชาการทัพแก่นัดจินหน่อง และเชิญพระเจ้านันทบุเรงไปประทับ ณ ตองอู เพื่อเตรียมรับทัพพระนเรศวร ตองอูได้กวาดต้อนพลเรือนและทรัพย์สินไปยังตองอู ทิ้งเมืองให้ยะไข่ปล้นและเผาเมือง ส่วนพระนเรศวร มาถึงหงสาวดี ก็เหลือแต่เมืองที่ถูกเผาแล้ว พระนเรศวรจึงยกทัพไปตีตองอูต่อ เหตุการณ์ดังกล่าว นับเป็นจุดจบของกรุงหงสาวดี หลังจากนั้น ศูนย์กลางอำนาจของพม่า ได้ย้ายไปยังอังวะ, อมรปุระ และมัณฑะเลย์ตามลำดับ จนถึงวันที่พม่าเสียเอกราชให้แก่อังกฤษ





ศาสตราจารย์ ดร.วิรุณ ตั้งเจริญ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
ณ พระราชวังกัมโพชธานีของพระเจ้าบุเรงนอง ที่ได้รับการบูรณะและสร้างขึ้นมาใหม่


อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของหงสาวดี คือ พระธาตุชเวมอดอ หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า พระธาตุมุเตา เป็นพระธาตุที่อยู่มานานคู่กับเมือง เป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์คู่เมือง เชื่อว่าภายในได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไว้ เล่ากันว่า เมื่อครั้งใด ที่พระเจ้าบุเรงนองจะออกทำศึก จะทรงสักการะขอพรจากพระธาตุนี้ทุกครั้ง และเมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เสด็จมายังที่หงสาวดีนี้ ก็ได้ทำการสักการะพระธาตุนี้ด้วย

สัญลักษณ์ของเมืองหงสาวดี ที่สำคัญอีกหนึ่งคือ เป็นรูปหงส์คู่ มีตำนานเล่าว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงเมืองหงสาวดี ที่สมัยก่อนยังคงเป็นชายหาดริมทะเล พระพุทธเจ้าทรงเห็น หงส์สองตัวว่ายน้ำเล่นกัน จึงทำนายออกมาว่า ภายหลังจะเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง ชาวหงสาวดี จึงถือเอาตำนานเรื่องนี้มาเป็นสัตว์สัญลักษณ์ นอกจากนี้ ตำนานยังกล่าวว่า หงส์คู่นั้น ตัวเมียขี่ตัวผู้ จึงมีคำทำนายว่า ต่อไปผู้หญิงจะเป็นใหญ่ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นคือ พระนางเชงสอบู (ตะละแม่ท้าว) นั่นเอง ปัจจุบัน หงสาวดีเป็นเมืองที่ทำรายได้ให้แก่ประเทศพม่า ด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยว มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี : ออนไลน์)





พระธาตุมุเตา เมืองหงสาวดี


6. อัศจรรย์ใจ ณ พระธาตุมุเตา

ท่านทั้งหลาย เมื่อผู้เขียนได้ก้าวไปอยู่บนแผ่นดิน และเข้าสู่เขตพระราชวังเก่า แห่งเมืองหงสาวดีแล้วนั้น แม้จิตหนึ่ง จะทึ่งในความยิ่งใหญ่ในอดีต แต่ในอีกใจหนึ่ง กลับแลเห็นความทุกข์เศร้าหมองแฝงอยู่ในอาณาบริเวณพระราชวังเก่านั้น อย่างบอกไม่ถูก ยิ่งมารับรู้ว่า สถานที่แห่งนี้ เคยเป็นสถานที่ที่พระนเรศวรเคยประทับอยู่ หรือแม้ในบางอาณาบริเวณ ก็เป็นสถานที่เฉพาะของเชลยชาวกรุงศรีอยุธยาอยู่อาศัย ก็ดูชั่งเงียบเหงาวังเวงเสียยิ่งกะไร แต่พอออกมานอกเขตพระราชวังเก่า ไปสู่อาณาเขตแห่งศาสนจักรคือ วัดพระธาตุมุเตาอันศักดิ์สิทธิ์ กลับสงบสุขอย่างบอกไม่ถูก จิตเกิดปีติ ยิ่งเมื่อได้เอาหน้าผากสัมผัสแตะลงไปอธิษฐาน บนยอดเจดีย์ที่หักลงมา หน้าผากนั้นถูกดูดลงไปแนบแน่นกับพื้นยอดเจดีย์ พร้อมกับเกิดปีติซาบซ่านไปทั้งกายใจ อย่างน่าประหลาดใจ จึงได้แต่เก็บความรู้สึก ที่มีต่อศาสนสถานแห่งนี้ อย่างเคารพศรัทธา สมกับที่ได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้

อ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki/หงสาวดี




7. อาณาจักรพุกาม เมืองล้านเจดีย์

อาณาจักรพุกาม (Pagan Kingdom) เป็นอาณาจักรโบราณ ในช่วง พ.ศ. 1587 - พ.ศ. 1830 พุกามเป็นอาณาจักร และราชวงศ์แห่งแรกในประวัติศาสตร์พม่า มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพุกามในปัจจุบัน เดิมมีชื่อว่า "ผิวคาม" (แปลว่า หมู่บ้านของชาวผิว) เป็นเมืองเล็กๆ ริมทิศตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี สภาพส่วนใหญ่ เป็นทะเลทรายแห้งแล้ง เป็นที่อยู่ของชาวผิว ซึ่งเป็นชนพื้นเมือง ในปี พ.ศ. 1587 พุกามถูกสถาปนาโดยพระเจ้าอโนรธามังช่อ พระองค์ต้องทำสงครามกับชาวมอญที่อยู่ทางใต้ จึงได้สถาปนาชื่ออย่างเป็นทางการของพุกามว่า "ตะริมันตระปุระ" (หมายความว่า เมืองที่ปราบศัตรูราบคาบ)

รอบๆ เมืองพุกาม มีหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ "มินดาตุ" ซึ่งเป็นเขตเมืองโบราณ 4 แห่ง ล้อมรอบอยู่ด้วย ในรัชสมัยพระเจ้าจานสิตา กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์พุกาม เป็นสมัยที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มอญที่อยู่ยังหงสาวดีทางตอนใต้ ได้ทำสงครามชนะพุกาม และครอบครองดินแดนของพุกามไว้ได้ พระองค์จึงรวบรวมชาวพม่าและชาวมอญบางส่วนตีโต้คืน จึงสามารถยึดพุกามกลับมาไว้ได้

พุกาม เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ทางด้านศิลปวิทยาการ ในสมัยพระเจ้าอลองสิธู ใน พ.ศ. 1687 พระองค์ได้โปรดให้สร้างเจดีย์ชื่อ "ตะเบียงนิว" (แปลว่า เจดีย์แห่งความรู้) ซึ่งเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในพุกามไว้ด้วย กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์พุกาม คือ พระเจ้านรสีหบดี สร้างเจดีย์องค์สุดท้ายแห่งพุกาม เสร็จเมื่อปี พ.ศ. 1819 และเมื่อสร้างเจดีย์องค์นี้เสร็จ ได้มีผู้ทำนายว่า อาณาจักรพุกามจะถึงกาลอวสาน ซึ่งต่อมาก็เป็นจริงดังนั้น เมื่อกองทัพมองโกลยกทัพเข้ามาบุกในปี พ.ศ. 1827 และพุกามถึงคราวล่มสลายในปี พ.ศ. 1830 รวมระยะเวลาแล้ว 243 ปี มีกษัตริย์อยู่ทั้งหมดทั้งสิ้น 11 พระองค์ อาณาจักรพุกาม หลังปี พ.ศ. 1830 ถูกมองโกลยึดครอง และแบ่งดินแดนออกเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลเชียงเมียน โดยรวมรัฐทางเหนือของพม่าเข้าด้วยกัน มีเมืองตะโก้ง เป็นศูนย์กลาง ภายใต้การปกครองของข้าหลวงจีน มีทหารมองโกลประจำ และมณฑลเชียงชุง อยู่ทางภาคใต้ของพม่า มีพุกามเป็นศูนย์กลาง จนปี พ.ศ. 1834 จึงได้แต่งตั้งพระเจ้ากะยอชวา เป็นกษัตริย์ปกครองพุกาม ในฐานะประเทศราชของจีน (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี : ออนไลน์)




อธิการบดี คณะรองอธิการบดี คณบดี และนิสิตปริญญาเอก สาขาศิลปวัฒนธรรมวิจัย รุ่น 1 และ 2
ณ ยอดเจดีย์เมืองพุกาม ประเทศเมียนม่าร์ กุมภาพันธ์ 2552


ท่านทั้งหลาย เมื่อผู้เขียนได้ย่างเท้าเข้าสู่เขตอาณาจักรพุกาม อาณาจักรแห่งพระพุทธศาสนาอันยิ่งใหญ่ ผู้เขียนไม่เคยเห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ไม่นึกว่าเมืองเก่าเมืองโบราณแห่งนี้ ก็คงเหมือนกับเมืองเก่าที่เราเคยเห็นกระมัง แต่พอได้สัมผัสและแลเห็นด้วยตาของตัวเองแล้ว โอ้โฮ... วัดและเจดีย์ผุดขึ้นจากพื้นดิน ราวกับดอกเห็ด ยิ่งได้ขึ้นไปชมวิวบนยอดเจดีย์ จนสามารถมองเห็นรอบทุกทิศทางแล้ว ภาพที่ปรากฏ ถึงกับอุทานออกมาว่า “อะไรกันนี่ เหมือนกับทะเลแห่งเจดีย์เลยหรือนี่” เพราะรอบๆ มองไปในทิศทางใด ก็แลเห็นแต่ยอดวัด ยอดเจดีย์ใหญ่น้อยผุดขึ้นมาจากดิน เรียงรายกระจัดกระจายไปทั่ว สมกับคำเปรียบเปรยว่า “พุกามเป็นเมืองแห่งล้านเจดีย์” แม้ปัจจุบัน วัดและเจดีย์ จะยังคงสภาพที่สมบูรณ์และยังเหลืออยู่ ประมาณสี่พันเจดีย์ก็ตาม แต่นั้นก็นับว่า เป็นอาณาจักรแห่งพระพุทธศาสนา ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เคยมีมา






อาณาจักรล้านเจดีย์แห่งเมืองพุกาม

 

แม้ในขณะนั้น ขณะที่ผู้เขียนยืนมองโดยรอบอยู่บนยอดเจดีย์ ในขณะอาทิตย์กำลังอัสดง แม้ผู้เขียนจะไม่มีญาณแลเห็นสิ่งอัศจรรย์ได้ แต่ผู้เขียน ก็ได้สร้างมโนภาพขึ้นภายในใจว่า มีแสงสว่างของพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุทั้งหลาย ผุดขึ้นเป็นลำแสง สว่างไสวไปบนท้องฟ้า ประหนึ่งภาพแสงเลเซอร์ ในการเฉลิมฉลองงานหนึ่ง











เจดีย์และพระพุทธรูปที่เมืองพุกาม

อย่างไรก็ตาม แม้อาณาจักรพุกาม จะยิ่งใหญ่และเจริญสูงสุด ทั้งเรื่องอาณาจักร และศาสนจักร มากมายเพียงใดก็ตาม แต่ความยิ่งใหญ่นั้น ก็คงทนอยู่ได้เพียงชั่วระยะหนึ่ง แล้วเสื่อมความเจริญลงในที่สุด ซึ่งเป็นไปตามกฎธรรมชาติของโลก ธรรมชาติในความเป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเป็นธรรมดา เห็นแล้วก็ได้แต่ปลงอนิจจังว่า สิ่งทั้งหลาย ล้วนไม่เที่ยง

เมื่อคณะกลับไปถึงที่พักในโรงแรมแล้ว ผู้เขียนจึงถือโอกาสนั่งภาวนา แผ่เมตตา ไปตามบุญวาสนาที่มีอยู่ วาระการจาริกบุญก็จบลงอีกวาระหนึ่ง และท้ายสุดนี้ ผู้เขียนขอให้ผู้อ่าน จงมีความผาสุขร่มเย็น ทุกท่านเทอญ


อ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki/อาณาจักรพุกาม




พระสงฆ์ชาวเมียนมาร์ ณ เมืองพุกาม

           
            สุดท้ายนี้ เมื่อท่านทั้งหลาย ได้อ่านบทความเรื่อง ธรรมสัญจร "เมียนมาร์ ดินแดนพระพุทธศาสนา" ต้นปี 2552 จบลงครบทุกตอนแล้ว ขอผลานิสงส์แลธรรมทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นแล้ว จงย้อนกลับไปบันดาลให้ทุกท่าน จงมีแต่ความสุขความเจริญ สงบสุขร่มเย็น มั่งมีศรีสุข อายุมั่นขวัญยืน แลสว่างไสวทั้งทางโลกและทางธรรม จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งทุกข์ ทุกท่านเทอญ

          ขอเจริญในธรรม
          ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
          4 ธันวาคม 2556