ยินดีต้อนรับ

Asst. Prof. Dr.Natdhnond Sippaphakul

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2563

(195) สมเด็จพระสังฆราช(ศรี) กับการสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๙ ของโลก

  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล


          ท่านทั้งหลาย ผู้เขียนขออัญเชิญพระราชประวัติ ขององค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้าแห่งกรุงธนบุรี และยังเป็นองค์ปฐมพระสังฆราชเจ้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์อีกด้วย ซึ่งพระสังฆราชพระองค์นี้ นับเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญ ในการฟื้นฟูพระพุทธศาสนา หลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ ๒ และโดยเฉพาะการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๙ ของโลก หรือที่เรียกว่า "นวมสังคายนาพระไตรปิฎก" ที่บังเกิดขึ้นในผืนแผ่นดินไทย

          หมายเหตุ... ผู้เขียนเรียบเรียงจากบทความที่มีผู้ส่งมาให้ จึงไม่ทราบที่มาของข้อมูลทั้งหมด จึงต้องขอขอบคุณเจ้าของบทความเดิม มา ณ โอกาสนี้ด้วย ส่วนเนื้อหาหลักทั้งหมดเป็นความจริงตามประวัติศาสตร์ แต่เนื้อหาบางตอน อาจซ่อนปริศนาบางอย่างที่ต่างไปจากความเป็นจริง ซึ่งต้องดูจากญาณในของพระอรหันตเจ้า โดยเฉพาะช่วงปลายรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งอาจไม่ตรงกับประวัติศาสตร์หลายประเด็น อันนี้ โปรดพิจารณากันเอาเอง


สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)



"สมเด็จพระสังฆราชสองแผ่นดิน"
สมเด็จพระสังฆราช "องค์ที่สอง" แห่งกรุงธนบุรี
และเป็นพระสังฆราช "องค์แรก" แห่งกรุงรัตนโกสินทร์


         สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช(ศรี) พ.ศ. ๒๓๒๕-๒๓๓๗ สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนามเดิมว่า "ศรี" (บางตำราเขียนว่า "สี") พระประวัติในเบื้องต้นมีความเป็นมาอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด ทราบแต่เพียงว่า เดิมเป็นเพียง พระอาจารย์ศรี ทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดพนัญเชิง อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศน์ พระสงฆ์ถูกฆ่า วัดวาอาราม พระไตรปิฎก ถูกเผาทำลายวอดวายจนสิ้นเชิง พระภิกษุสามเณรต่างก็พากันหลบภัยไปอยู่ตามวัดต่างๆ ในต่างจังหวัด พระอาจารย์ศรีก็ได้หลบภัยสงครามไปจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในเมืองนครศรีธรรมราช ที่ซึ่งพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด

         ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๑๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงยกทัพ ไปปราบก๊กเจ้านครซึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่ ที่เมืองนครศรีธรรมราช จึงได้อาราธนาพระอาจารย์ศรี ขึ้นมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดบางหว้าใหญ่(ปัจจุบันคือ วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร) เนื่องด้วยทรงคุ้นเคยและรู้จักเกียรติคุณของพระอาจารย์ศรี มาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ในขณะนั้น พระอาจารย์ดี ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ก่อน แต่ต่อมาภายหลัง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทราบว่า พระอาจารย์ดีเคยบอกที่ซ่อนทรัพย์ของผู้อื่นให้แก่พม่าเมื่อเวลาถูกขังอยู่ จึงโปรดให้ถอดออกจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช แล้วได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา พระอาจารย์ศรีขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช แทน ในพ.ศ. ๒๓๑๒ นั้นเอง นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงธนบุรี



สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
ถ่ายภาพจากจอโทรทัศน์โดย ดร.นนต์


ทรงถูกถอดจากตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช

         ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓๒๔ อันเป็นปีสุดท้ายแห่งรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)ได้ถูกถอดจากตำแหน่งเนื่องจากได้ถวายวิสัชนาร่วมกับ พระพุฒาจารย์ วัดบางหว้าน้อย (วัดอมรินทราราม) และพระพิมลธรรม วัดโพธาราม(วัดพระเชตุพนหรือวัดโพธิ์) เรื่องพระสงฆ์ปุถุชนไม่ควรไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นอริยบุคคล เนื่องจากคฤหัสถ์เป็นหินเพศต่ำ พระสงฆ์เป็นอุดมเพศที่สูง เพราะทรงผ้ากาสาวพัสตร์และพระจาตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ดังความว่า “ถึงมาตรว่าคฤหัสถ์เป็นพระโสดาก็ดี แต่เป็นหินเพศต่ำ อันพระสงฆ์ ถึงเป็นปุถุชน ก็ตั้งอยู่ในอุดมเพศอันสูง เหตุทรงผ้ากาสาวพัสตร์ และพระจตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ ซึ่งจะไหว้นบคฤหัสถ์ อันเป็นพระโสดานั้นก็บ่มิควร”

         ข้อวิสัชนาดังกล่าวนี้ ไม่ต้องพระทัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์จึงให้ถอดเสียจากตำแหน่งพระสังฆราช ลงมาเป็นพระอนุจร (พระธรรมดา) แล้วทรงตั้งพระโพธิวงศ์ เป็นสมเด็จพระสังฆราช และตั้งพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นพระวันรัต เหตุการณ์ครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) และพระราชาคณะทั้งสองรูปดังกล่าว เป็นพระเถระที่เคร่งครัดมั่นคงในพระธรรมวินัย แม้จะต้องเผชิญกับราชภัยอันใหญ่หลวง ก็มิได้หวั่นไหว นับเป็นพระเกียรติคุณที่สำคัญประการหนึ่ง ของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น



สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
ถ่ายภาพจากจอโทรทัศน์โดย ดร.นนต์


ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชครั้งที่ ๒

          ครั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกและสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คืนสมณฐานันดรศักดิ์และตำแหน่งดังเดิมให้แก่ สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ดังมีรายละเอียดบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร ดังนี้

          “ทรงพระราชดำริว่า ฝ่ายข้างอาณาจักรได้แต่งตั้งข้าราชการตามตำแหน่งเสร็จแล้ว ควรจะจัดการข้างฝ่ายพุทธจักร ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งเสื่อมทรุดเศร้าหมองนั้นให้วัฒนารุ่งเรืองสืบไป จึงดำรัสให้สึกพระวันรัต(ทองอยู่) กับพระรัตนมุนี (แก้ว) ออกเป็นฆราวาส ดำรัสว่าเป็นคนอาสัตย์สอพลอทำให้เสียแผ่นดิน.....ดำรัสให้สมเด็จพระสังฆราช พระพุฒาจารย์ และพระพิมลธรรม ซึ่งเจ้ากรุงธนบุรีให้ลงโทษถอดเสียจากพระราชาคณะ เพราะไม่ยอมถวายบังคมนั้น โปรดให้คงที่สมณฐานันดรศักดิ์ดังเก่า ให้คืนไปอยู่ครองพระอารามตามเดิม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ดำรัสสรรเสริญว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามพระองค์นี้ มีสันดานสัตย์ซื่อมั่นคง ดำรงรักษาพระพุทธศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างกายและชีวิต ควรเป็นที่นับถือไหว้นบเคารพสักการบูชา แม้มีข้อสงสัยสิ่งใดในพระบาลีไปภายหน้า จะให้ประชุมพระราชาคณะไต่ถาม ถ้าพระผู้เป็นเจ้าทั้งสามว่าอย่างไรแล้ว พระราชาคณะอื่นๆ จะว่าอย่างอื่นไป ก็คงจะเชื่อถ้อยคำพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม ซึ่งจะเชื่อถือฟังความตามพระราชาคณะอื่นๆ ที่เป็นพวกมากนั้นหามิได้ ด้วยเห็นใจเสียครั้งนี้แล้ว”

          ความในพระราชดำรัสดังปรากฏในพระราชพงศาวดารข้างต้นนี้ ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) เป็นที่ทรงเคารพนับถือ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นอันมาก ทั้งเป็นที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยในการที่จะฟื้นฟูทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป เป็นปัจจัยประการหนึ่งที่ทำให้ทรงพระราชดำริ ในอันที่จะทำสังคายนาพระธรรมวินัยให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เพื่อเป็นหลักของพระพุทธศาสนาในพระราชอาณาจักร ยั่งยืนสืบไปชั่วกาลนาน และโดยที่เป็นที่ทรงเคารพนับถือ และเป็นที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยดังกล่าวแล้ว จึงกล่าวได้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) คงจักทรงเป็นกำลังสำคัญ ในการชำระและฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในครั้งรัชกาลที่ ๑ เป็นอย่างมาก ทั้งในด้านความประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุสามเณร การบูรณปฏิสังขรณ์พุทธสถาน การชำระตรวจสอบพระไตรปิฎกให้ถูกถ้วนบริบูรณ์ ตลอดถึงในด้านความประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกที่ควรของพุทธศาสนิกชนทั่วไป ดังจะเห็นได้ว่าในระหว่างที่ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชนั้น ได้ทรงมีพระราชปุจฉาเกี่ยวกับการพระศาสนาด้านต่างๆ ไปยังสมเด็จพระสังฆราชมากกว่า ๕๐ เรื่อง สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พร้อมด้วยพระสงฆ์ราชาคณะ ก็ได้ถวายพระพรแก้พระราชปุจฉา เป็นที่ต้องตามพระราชประสงค์ทุกประการ สิ่งแสดงถึงพระราชศรัทธาเคารพนับถือใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ทรงมีต่อ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) อีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อทรงตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้ว ได้โปรดเกล้าฯให้รื้อตำหนักทองของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ไปปลูกเป็นกุฎีถวาย ณ วัดบางว้าใหญ่ (วัดระฆัง) แต่น่าเสียดายที่ตำหนักทองนี้ถูกไฟไหม้เสียเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๓



พระกรณียกิจสำคัญ : การสังคายนาพระไตรปิฎก

          เป็นที่ประจักษ์ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษกเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นปฐมรัชกาลแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์แล้ว พระราชกรณียกิจประการแรกที่ทรงกระทำก็คือ การจัดสังฆมณฑลและฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ที่เสื่อมทรุดมาแต่การจลาจลวุ่นวายของบ้านเมือง แต่ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา จนถึงครั้งกรุงธนบุรี ในด้านสังฆมณฑลนั้นก็ทรงกำจัดอลัชชีภิกษุ และทรงตรากฎพระสงฆ์ขึ้น เพื่อป้องกันมิให้พระภิกษุสามเณรประพฤตินอกพระธรรมวินัย และมีความประพฤติกวดขันในพระธรรมวินัยยิ่งขึ้น

           ในด้านทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคง ก็โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมพระไตรปิฎกบรรดาฉบับที่มีทั้งที่เป็นอักษรลาว อักษรรามัญ ตรวจชำระแล้วแปลงเป็นอักษรขอม จารึกลงลานสร้างไว้ให้ครบถ้วน ประดิษฐานไว้ ณ หอพระมนเทียรธรรม พร้อมทั้งโปรดให้สร้างคัมภีร์พระไตรปิฎก ถวายพระสงฆ์สำหรับเล่าเรียนไว้ทุกๆ พระอารามหลวง สิ้นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไปเป็นอันมาก ต่อมาทรงพระราชดำริเห็นว่า พระไตรปิฎกที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อต้นรัชกาลนั้น ยังบกพร่องตกหล่นอยู่เป็นอันมาก ทั้งพยัญชนะและเนื้อความ อันเนื่องมาจากความวิปลาสตกหล่นของต้นฉบับเดิม จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้คณะสงฆ์ประชุมสังคายนาตรวจชำระพระไตรปิฎกขึ้น

           เหตุการณ์สำคัญครั้งนี้เกิดขึ้นในปีที่ ๖ แห่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนับเป็น การสังคายนาครั้งที่ ๒ ในราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๓๓๑) (ครั้งแรกทำที่นครเชียงใหม่สมัยพระเจ้าติโลกราชมหาราชแห่งอาณาจักรล้านนา)และ นับเป็นครั้งแรกในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ (ครั้งที่ ๒ ทำในสมัยรัชกาลที่ ๙ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐) ทั้งนี้ได้มีการอาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะให้ดำเนินการ สมเด็จพระสังฆราชได้เลือกพระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญอันดับ ที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกได้พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราชบัณฑิตยาจารย์ ๓๒ คน ทำการสังคายนาที่ วัดนิพพานาราม (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์) แบ่งพระสงฆ์ออกเป็น ๔ กอง ดังนี้

          สมเด็จพระสังฆราช(ศรี) เป็นแม่กองชำระพระสุตตันปิฎก
          พระวันรัต เป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก
          พระพิมลธรรม เป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเศส
          พระธรรมไตรโลก เป็นแม่กองชำระพระปรมัตถปิฎก

  การชำระพระไตรปิฎกครั้งนี้ใช้เวลา๕ เดือน ได้จารึกพระไตรปิฎกลงลานใหญ่ แล้วปิดทองทึบ ทั้งปกหน้าปกหลัง และกรอบ เรียกว่า ฉบับทอง ทำการสมโภช แล้วอัญเชิญเข้าประดิษฐานในตู้ประดับมุก ตั้งไว้ในหอพระมณเทียรธรรม กลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อนึ่ง การทำสังคายนาพระไตรปิฎกเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ นั้น ได้มีบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ อย่างละเอียด ควรแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จึงขอนำมากล่าวในที่นี้ ตามความที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ดังนี้

          …..ในปีวอก สัมฤทธิศก นั้น พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชรำพึงถึงพระไตรปิฎกธรรม อันเป็นมูลรากแห่งพระปริยัติศาสนา ทรงพระราชศรัทธาพระราชทานพระราชทรัพย์เป็นอันมาก ให้เป็นค่าจ้างลานจารึกพระไตรปิฎกลงลาน แต่บรรดามีฉบับในที่ใดๆ ที่เป็นอักษรลาว อักษรรามัญก็ให้ชำระแปลงออกเป็นอักษรขอม สร้างขึ้นไว้ในตู้ ณ หอพระมนเฑียรธรรม และสร้างพระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ให้เล่าเรียน ทุกๆ พระอารามหลวงตามความปรารถนา


         จึงจมื่นไวยวรนารถกราบทูลว่า พระไตรปิฎกซึ่งทรงพระราชศรัทธาสร้างขึ้นไว้ทุกวันนี้ อักขระบทพยัญชนะตกวิปลาสอยู่แต่ฉบับเดิมมา หาผู้จะทำนุบำรุงตกแต้มดัดแปลงให้ถูกต้องบริบูรณ์ขึ้นมิได้ ครั้นได้ทรงสดับจึงทรงพระปรารภว่าพระบาลีและอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้ เมื่อและผิดเพี้ยนวิปลาสอยู่เป็นอันมากฉะนี้ จะเป็นเค้ามูลพระศาสนากระไรได้ อนึ่งท่านผู้รักษาพระไตรปิฎกมีอยู่ทุกวันนี้ก็น้อยนักถ้าสิ้นท่านเหล่านี้แล้วเห็นว่าพระปริยัติศาสนา และปฏิบัติศาสนาและปฏิเสธศาสนาจะเสื่อมสูญเป็นอันเร็วนักสัตว์โลกทั้งปวงจะหาที่พึ่งบ่มิได้ในอนาคตภายหน้า ควรจะทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนาไว้ให้ถาวรวัฒนาการเป็นประโยชน์แก่เทพดามนุษย์ทั้งปวงจึงจะเป็นทางพระบรมโพธิญาณบารมี

          ทรงพระราชดำริฉะนี้แล้ว จึงดำรัสให้ประชุมพระราชวงศานุวงศ์ มีสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นประธาน ในพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ให้อาราธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญ ๑๐๐ รูป มารับพระราชทานฉัน ครั้นเสร็จสังฆภัตกิจแล้วพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงถวายนมัสการดำรัสเผดียงถามพระราชาคณะทั้งปวงว่าพระไตรปิฎกธรรมทุกวันนี้ ยังถูกต้องบริบูรณ์อยู่หรือพิรุธผิดเพี้ยนประการใด

          จึงสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะทั้งปวงพร้อมกันถวายพระพรว่า พระบาลีและอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกทุกวันนี้พิรุธมาช้านานแล้ว หากษัตริย์พระองค์ใดจะทำนุบำรุงให้เป็นศาสนูปถัมภกมิได้ แต่กำลังอาตมภาพทั้งปวงก็คิดจะใคร่ทำนุบำรุงอยู่ แต่เห็นจะไม่สำเร็จ และกาลเมื่อสมเด็จพระสรรเพชญพระพุทธองค์ผู้ทรงทศอรหาทิคุณอันประเสริฐ เมื่อพระองค์บรรทมเหนือพระปรินิพพานมัญจพุทธอาสน์ เป็นอนุฏฐานะไสยาสน์ ณ ระหว่างนางรังทั้งคู่ ในสาลวโนทยานของพระเจ้ามลราช ใกล้กรุงกุสินารานคร มีพระพุทธฎีกาตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

          .....ดูกรสงฆ์ทั้งปวง พระธรรมวินัยอันใดทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อันพระตถาคตเทศนาสั่งสอนท่าน เมื่อพระตถาคตนิพพานแล้ว พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้นจะเป็นครูสั่งสอนท่าน และสรรพสัตว์ทั้งปวงต่างองค์พระตถาคตสืบไป พระองค์ตรัสมอบพระพุทธศาสนาไว้อาศัยพระปริยัติธรรมฉะนี้แล้ว ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน.....



สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑

          จำเดิมแต่สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้านิพพานถวายพระเพลิงแล้วได้ ๗ วัน พระมหากัสสปเถรเจ้าระลึกถึงคำพระสุภัททภิกษุ ว่ากล่าวติเตียนพระบรมศาสดาเป็นมูลเหตุ จึงดำริการจะทำสังคายนา เลือกสรรพระภิกษุทั้งหลาย ล้วนพระอรหันต์ทรงพระจตุปฏิสัมภิทาญาณ กับพระอานนท์เป็นเสกขบุคคลพระองค์หนึ่ง ซึ่งได้พระอรหัตในราตรีรุ่งขึ้นวันจะสังคายนา พอครบ ๕๐๐ พระองค์ มีพระเจ้าอชาตศัตรูราชเป็นศาสนูปถัมภก ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในพระมณฑปแถบถ้ำสัตตบรรณคูหา ณ เขาเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์มหานคร ๗ เดือน จึงสำเร็จการปฐมสังคายนา


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๒

           ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาแล้วได้ ๑๐๐ ปี พระภิกษุชาววัชชีคามเป็นอลัชชี สำแดงวัตถุ ๑๐ ประการ กระทำผิดพระวินัยบัญญัติ และพระมหาเถรขีณาสพ ๘ พระองค์ มีพระยศเถรเป็นต้น พระเรวัตตเถรเป็นปริโยสาน ชำระทศวัตถุอธิกรณ์๑๐ ประการ ให้ระงับยังพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ แล้วเลือกสรรพระอรหันต์อันทรงพระปฏิสัมภิทาญาณ ๗๐๐ พระองค์ มีพระสัพพกามีเถรเจ้าเป็นประธาน ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในวาลุการามมหาวิหารใกล้กรุงเวสาลี พระเจ้ากาลาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก ๘ เดือนจึงสำเร็จการทุติยสังคายนา


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓

          ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๒๑๘ ปี ครั้งนั้นเหล่าเดียรถีย์เข้าปลอมบวชในพระศาสนา จึงพระโมคคลีบุตรดิศเถรยังพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชให้เรียนรู้ในพุทธสมัย แล้วชำระสึกเดียรถีย์เสีย ๖๐,๐๐๐ ยังพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ แล้วพระโมคคลีบุตรดิศเถรจึงเลือกพระอรหันต์อันทรงพระปฏิสัมภิทาญาณ ๑,๐๐๐ พระองค์ทำสังคายนาพระไตรปิฎกในอโสการามวิหาร ใกล้กรุงปาตลีบุตรมหานคร พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นศาสนูปถัมภก ๙ เดือน จึงสำเร็จตติยสังคายนา


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๔

          ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๒๓๘ ปีจึงพระมหินเถรเจ้าออกไปลังกาทวีป บวชกุลบุตรให้เล่าเรียนพระปริยัติธรรม คือหยั่งรากพระพุทธศาสนาลงในลังกาแล้ว พระขีณาสพทั้ง ๓๘ พระองค์มีพระมหินทรเถรและพระอริฏฐเถรเป็นประธาน กับพระสงฆ์ซึ่งทรงพระปริยัติธรรม ๑,๑๐๐ รูปทำสังคายนาพระไตรปิฎก ในมณฑปถูปารามวิหารใกล้กรุงอนุราธบุรี พระเจ้าเทวานัมปิยดิศเป็นศาสนูปถัมภก ๑๐ เดือน จึงสำเร็จการจตุตถสังคายนา


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๕

          ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๔๓๓ ปี ครั้งนั้นพระอรหันต์ทั้งปวงในลังกาทวีปพิจารณาเห็นว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมลง เพราะพระสงฆ์ซึ่งทรงพระไตรปิฎกให้ขึ้นปากเจนใจนั้นเบาบางลงกว่าแต่ก่อนจึงเลือกพระอรหันต์อันทรงปฏิสัมภิทาญาณ และพระสงฆ์บุถุชนผู้ทรงพระปริยัติธรรมมากกว่า ๑,๐๐๐ ประชุมกัน ในมหาวิหารใกล้เมืองอนุราธบุรี พระเจ้าวัฏฏคามินีอภัยเป็นศาสนูปถัมภก ทำมณฑปถวายให้ทำการสังคายนา คือจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน ทั้งพระบาลีและอรรถกถาเป็นสิงหฬภาษา ปี ๑ จึงสำเร็จการปัญจมสังคายนา


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๖

             ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๙๕๖ ปี จึงพระพุทธโฆษาจารย์เจ้าออกไปแต่ชมพูทวีป แปลพระไตรปิฎกอันเป็นสิงหฬภาษาออกเป็นมคธภาษา แล้วจารึกลงในใบลานใหม่ในโลหปราสาทเมืองอนุราธบุรีพระเจ้ามหานามเป็นศาสนูปถัมภก ปี ๑ จึงสำเร็จ นับเนื่องเข้าในฉัฐมสังคายนา



สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๗

             ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาถึง ๑,๕๘๗ ปี ครั้งนั้นพระเจ้าปรากรมพาหุราชได้เสวยราชสมบัติในลังกาทวีป ย้ายพระนครจากอนุราธบุรีมาตั้งอยู่เมืองปุรัตถิมหานคร จึงพระกัสสปเถรเจ้า กับพระสงฆ์บุถุชนผู้ทรงธรรมวินัย ประชุมกันชำระพระไตรปิฎกชึ่งเป็นสิงหฬภาษาบ้าง มคธบ้าง ปะปนกันอยู่ ให้แปลงแปลออกเป็นมคธภาษาทั้งสิ้น แล้วจารึกลงลานใหม่ พระเจ้าปรากรมพาหุราชเป็นศาสนูปถัมภก ปี ๑ จึงสำเร็จบริบูรณ์ นับเนื่องเข้าในสัตตมสังคายนา

          เบื้องหน้าแต่นั้นมา จึงพระเจ้าธรรมานุรุธผู้เสวยราชสมบัติ ณ เมืองอริมัตถบุรี คือเมืองภุกาม ออกไปจำลองพระไตรปิฎกในลังกาทวีปเชิญลงสำเภามายังชมพูทวีปนี้ แต่นั้นมาพระปริยัติธรรมจึงแผ่ไพศาลไปในนานาประเทศทั้งปวง บรรดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ นับถือพระรัตนตรัยนั้น ได้จำลองต่อๆ กันไป เปลี่ยนแปลงอักษรตามประเทศภาษาของตนๆ ก็ผิดเพี้ยนวิปลาสไปบ้าง ทุกๆ พระคัมภีร์ที่มากบ้าง ที่น้อยบ้าง


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๘

             ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ ๒,๐๒๐ ปี จึงพระธรรมทินเถรเจ้าผู้เป็นมหาเถรอยู่ ณ เมืองนพีสีนคร คือเมืองเชียงใหม่ พิจารณาเห็นว่าพระไตรปิฎกพิรุธมากทั้งบาลีและอรรถกถาฎีกา จึงถวายพระพรแก่พระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิ์ดิลกราช ซึ่งเสวยราชสมบัติ ณ เมืองเชียงใหม่ว่า จะชำระพระปริยัติธรรมให้บริบูรณ์ พระเจ้าสิริธรรมจักรวรรดิ์ดิลกราชจึงให้กระทำ พระมณฑปในมหาโพธารามวิหารในพระนคร พระธรรมทินเถรจึงเลือกพระสงฆ์ซึ่งทรงพระไตรปิฎกมากกว่า ๑๐๐ ประชุมพร้อมกับในพระมณฑปนั้น กระทำสังคายนาพระไตรปิฎกตกแต้มให้ถูกถ้วนบริบูรณ์ พระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิ์ดิลกราชเป็นศาสนูปถัมภก ปี ๑ จึงสำเร็จนับเนื่องเข้าในอัฏฐมสังคายนาอีกครั้งหนึ่ง

             เบื้องหน้าแต่นั้นมา พระเถรานุเถรในชมพูทวีปได้เล่าเรียนพระไตรปิฎก และสร้างสืบต่อกันมา และท้าวพระยาเศรษฐีคฤหบดีมีศรัทธาสร้างไว้ในประเทศต่างๆ คือเมืองไทย เมืองลาว เมืองเขมร เมืองพม่า เมืองมอญ เป็นอักษรส่ำสมผิดเพี้ยนกันอยู่เป็นอันมาก หาท้าวพระยาและสมณะผู้ใดที่จะศรัทธา สามารถอาจชำระพระไตรปิฎกขึ้นไว้ให้บริบูรณ์ดุจท่านแต่ก่อนนั้นมิได้


สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๙

          ครั้นพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ ๒,๓๐๐ ปีเศษแล้ว บรรดาเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งปวง ก็เกิดการยุทธสงครามแก่กันถึงพินาศฉิบหายด้วยภัยแห่งปัจจามิตร มีผู้ร้ายเผาวัดวาอารามพระไตรปิฎกก็สาบสูญสิ้นไป จนถึงกรุงศรีอยุธยาเก่าก็ถึงแก่กาลพินาศแตกทำลายด้วยภัยพม่าข้าศึก พระไตรปิฎกและพระเจดียสถานทั้งปวง ก็เป็นอันตรายสาบสูญไป สมณะผู้รักษาร่ำเรียนพระไตรปิฎกนั้น ก็พลัดพรากล้มตายเป็นอันมาก หาผู้ใดที่จะเป็นที่พำนักป้องกันข้าศึกศัตรูมิได้ เหตุฉะนี้พระไตรปิฎกจึงมิได้บริบูรณ์ เสื่อมสูญร่วงโรยมาจนเท่ากาลทุกวันนี้

          พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ เมื่อได้ทรงสดับพระสงฆ์ราชาคณะถวายพระพรโดยพิสดาร ดังนั้น จึงดำรัสว่า ครั้งนี้ขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวง จงมีอุตสาหะในฝ่ายพระพุทธจักร ให้พระไตรปิฎกบริบูรณ์ขึ้นให้จงได้ ฝ่ายข้างอาณาจักรที่จะเป็นศาสนูปถัมภกนั้น เป็นพนักงานโยมๆ จะสู้เสียสละชีวิตบูชาพระรัตนตรัย สุดแต่จะให้พระปริยัติบริบูรณ์เป็นมูลที่จะตั้งพระพุทธศาสนาจงได้ พระราชาคณะทั้งปวงรับสาธุ แล้วถวายพระพรว่า อาตมภาพทั้งปวงมีสติปัญญาน้อยนัก ไม่เหมือนท่านแต่ก่อน แต่จะอุตส่าห์ชำระพระปริยัติธรรม สนองพระเดชพระคุณตามสติปัญญา และสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาครั้งนี้ ก็นับได้ชื่อว่า นวมสังคายนา คำรบ ๙ ครั้ง จะยังพระปริยัติศาสนาให้ถาวรวัฒนายืนยาวไปในอนาคตสมัย สิ้นกาลช้านาน แล้วถวายพระพรลาออกมาประชุมพร้อมกัน ณ วัดบางว้าใหญ่ จึงสมเด็จพระสังฆราชให้เลือกสรร พระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญอันดับ ที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกในเวลานั้น จัดได้พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป กับราชบัณฑิตยาจารย์ ๓๒ คน ที่จะทำการชำระพระไตรปิฎก

         จึงมีพระราชดำรัสให้จัดการที่จะทำสังคายนา ณ วัดนิพพานาราม เหตุประดิษฐานอยู่หว่างพระราชวังทั้ง ๒ และครั้งนั้นจึงพระราชทานนามใหม่ให้ชื่อวัดพระศรีสรรเพ็ชญดาราม แล้วทรงบริจาคพระราชทรัพย์ แจกจ่ายเกณฑ์พระราชวงศานุวงศ์ และข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในทั้งพระราชวังหลวง พระราชวังบวรฯ พระราชวังหลัง ให้ทำสำรับคาวหวานถวายพระสงฆ์ซึ่งชำระพระไตรปิฎก ทั้งเช้าทั้งเพล เวลาละ ๔๓๖ สำหรับทั้งคาวหวาน พระราชทานเป็นเงินตรา ค่าขาทนียโภชนียาหารสำรับคู่ละบาท

         ครั้น ณ วันกัตติกปุรณมี เพ็ญเดือน ๑๒ ในป็วอก สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๕๐ พระพุทธศักราช ๒๓๓๑ พรรษา เป็นพุธวาร ศุกรปักษ์ดฤถี เวลาบ่าย ๓ โมง มีพระราชกำหนดให้นิมนต์พระสงฆ์ประชุมพร้อมกัน ในพระอุโบสถวัดพระศรีสรรเพ็ชญดารามแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกรมพระราชวังบวรฯ ก็เสด็จพระราชดำเนินด้วยมหันตราชอิสริยยศ บริวารยศ พร้อมด้วยเครื่องสูง และปี่กลองชนะแห่ออกจากพระราชวังไปยังพระอาราม เสด็จ ณ พระอุโบสถทรงถวายนมัสการพระรัตนตรัยด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วอาราธนาพระพิมลธรรมให้อ่านคำประกาศเทวดาในท่ามกลางสงฆสมาคม ขออานุภาพเทพยดาเจ้าทั้งปวงให้อุปถัมภนาการให้สำเร็จกิจมหาสังคายนา แล้วให้แบ่งพระสงฆ์เป็น ๔ กอง
      
         สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก กอง ๑
         พระวันรัตเป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก กอง ๑
         พระพิมลธรรมเป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเศส กอง ๑
         และครั้งนั้นพระธรรมไตรโลกเป็นโทษอยู่ มิได้เข้าในสังคายนา พระธรรมไตรโลกจึงมาอ้อนวอนสมเด็จพระสังฆราช ขอเข้าช่วยชำระพระไตรปิฎกด้วย ก็ได้เป็นแม่กองชำระพระปรมัตถปิฎก กอง ๑
         และพระสงฆ์ทั้ง ๔ กองนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์แยกกันชำระพระปริยัติอยู่ ณ พระอุโบสถกอง ๑ อยู่ ณ พระวิหารกอง ๑ อยู่ ณ พระมณฑปกอง ๑ อยู่ ณ การเปรียญกอง ๑ ทรงถวายปากไก่หมึกหรดาลครบทุกองค์

        
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระอนุชาธิราช เสด็จพระราชดำเนินออกไป ณ พระอารามทุกๆ วัน วันละ ๒ เวลา เวลาเช้าทรงประเคนสำรับประณีตขาทนียโภชนียาหารแก่พระสงฆ์ ให้ฉัน ณ พระระเบียงโดยรอบ เวลาเย็นทรงถวายอัฏฐบานธูปเทียนเป็นนิตย์ทุกวัน และพระสงฆ์ทั้งราชบัณฑิตประชุมกันพิจารณาดูพระปริยัติ สอบสวนพระบาลีกับอรรถกถาที่ผิดเพี้ยนวิปลาส ก็ตกแต้มเปลี่ยนแปลงอักขระให้ถูกถ้วนบริบูรณ์ทุกๆ พระคัมภีร์ใหญ่น้อยทั่วทั้งสิ้น และที่ใดสงสัยเคลือบแคลงก็ปรึกษาไต่ถามพระราชาคณะผู้ใหญ่ซึ่งเป็นมหาเถรให้วิสัชนาตัดสินที่ผิดและชอบ
 

          การชำระพระไตรปิฎกตั้งแต่ ณ วันเพ็ญเดือน ๑๒ ปีวอก สัมฤทธิศก มาจนถึงวันเพ็ญเดือน ๕ ปีระกา เอกศก จุลศักราช ๑๑๕๑ พอครบ ๕ เดือนก็สำเร็จการสังคายนา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จำหน่ายพระราชทรัพย์ เป็นมูลค่าจ้างให้ช่างจานคฤหัสถ์และพระสงฆ์สามเณร จารึกพระไตรปิฎก ซึ่งชำระบริสุทธิ์แล้วนั้นลงลานใหญ่สำเร็จแล้วให้ปิดทองทึบ ทั้งใบปกหน้าหลังและกรอบทั้งสิ้นเรียกว่าฉบับทอง ห่อด้วยผ้ายก เชือกรัดถักด้วยไหมเบญจพรรณ มีสลากงาแกะเป็นลวดลายเขียนอักษรด้วยน้ำหมึก และฉลากทอเป็นตัวอักษรบอกชื่อพระคัมภีร์ทุกๆ พระคัมภีร์
      
      
         อนึ่ง เมื่อสำเร็จการสังคายนานั้น ทรงถวายไตรจีวรบริขารภัณฑ์แก่พระสงฆ์ทั้ง ๒๑๘ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธาน ล้วนประณีตทุกสิ่งเป็นมหามหกรรมฉลองพระไตรปิฎก และพระราชทานรางวัลเสื้อผ้าแก่พระยาธรรมปโรหิต พระยาพจนาพิมล และราชบัณฑิตทั้ง ๓๒ คนนั้นด้วย แล้วทรงสุวรรณภิงคารหล่อหลั่งทักษิโณทกธารา อุทิศแผ่ผลพระราชกุศลศาสนูปถัมภกกิจ ไปถึงเทพยดามนุษย์สรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วอนันตโลกธาตุ เป็นปัตตานุปทานบุญกริยาวัตถุอันยิ่งเพื่อประโยชน์แก่พระบรมโพธิสัพพัญญุตญาณ
 
    
         ครั้นเมื่อเสร็จการสร้างพระไตรปิฎกฉบับทองแล้ว ซึ่งให้เชิญพระคัมภีร์ทั้งปวงขึ้นพระยานุมาศพระราชยานต่างๆ ตั้งกระบวนแห่สมโภชพระไตรปิฎก มีเครื่องเล่นเป็นอเนกนานานุประการ เป็นมหรสพแก่ตาประชาราษฎรทั้งปวง แล้วเชิญพระคัมภีร์ปริยัติธรรมเข้าประดิษฐานไว้ในตู้ประดับมุก ตั้งไว้ในหอพระมนเทียรธรรม กลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดารามภายในพระราชวัง แล้วให้มีงานมหรสพสมโภชพระไตรปิฎกณ หอพระมนเทียรธรรม ครั้งนั้นมีละครผู้หญิงด้วย…..


  จากเรื่องราวของการสังคายนาครั้งนี้ กล่าวได้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงเป็นกำลังสำคัญในการดำเนินการ นับแต่ทรงเป็นประธานสงฆ์ ถวายคำแนะนำแด่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ให้ทรงตระหนักถึงความสำคัญ ของการธำรงรักษาพระธรรมวินัย ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เป็นเหตุให้ทรงพระราชวิริยะอุตสาหะ จัดการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น และในการทำสังคายนา สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)ก็ทรงแสดงพระปรีชาสามารถ โดยทรงเป็นแม่กองชำระพระสุตตันตปิฎก ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า การทำสังคายนาครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี สมพระราชประสงค์ทุกประการ โดยการอำนวยการของสมเด็จพระสังฆราช(ศรี) โดยแท้ นับเป็นพระเกียรติประวัติอีกประการหนึ่ง ของสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นั้น

          พระไตรปิฎกฉบับสังคายนาเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ นี้เอง ที่ได้เป็นแม่ฉบับสำหรับตรวจสอบในการจัดพิมพ์เป็นอักษรไทยครั้งแรก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๑เป็นเล่มหนังสือจำนวน ๓๙ เล่ม ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ต่อมาในรัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ขึ้นอีกครั้งหนึ่งและเพิ่มเติมจนครบบริบูรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นเล่มหนังสือจำนวน ๔๕ เล่ม เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ดังที่ใช้เป็นแบบอยู่ในประเทศไทยปัจจุบัน


พระกรณียกิจพิเศษ

          สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ เมื่อทรงผนวชเป็นพระภิกษุ ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๑ และสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ อีก ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนรินทร์รณเรศ และสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง ครั้นทรงผนวชแล้ว สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จไปประทับอยู่วัดสมอราย(คือวัดราชาธิวาส ในปัจจุบัน) เพื่อทรงศึกษาสมณกิจในสำนัก พระปัญญาวิสาลเถร(นาค) ตลอด ๑ พรรษา แล้วจึงทรงลาผนวช


พระอวสานกาล

         สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นเวลา ๑๒ ปี และทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๒๕ ก็สิ้นพระชนม์เมื่อเดือน ๕ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๕๖ พุทธศักราช ๒๓๓๗ ในรัชกาลที่ ๑ รวมเวลาอยู่ในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช ๑๒ ปี เช่นกัน ทรงมีพระชนมายุเท่าใดไม่ปรากฏชัด ในกฎพระสงฆ์กล่าวถึงพระองค์ว่า 'สมเด็จพระสังฆราชผู้เฒ่า' จึงน่าจะมีพระชนมายุสูงไม่น้อยกว่า ๘๐ พรรษา

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2563

(194) ธรรมะ 7 ข้อ ของหลวงปู่ขาว อนาลโย

 


ธรรมะ 7 ข้อ
ของหลวงปู่ขาว อนาลโย


๑. พระพุทธเจ้าว่าเราเป็นผู้แนะนำสั่งสอนทาง ทางออกจากโลกก็ดี ทางไปสวรรค์ก็ดี ทางไปนิพพานก็ดี เราตถาคตเป็นผู้แนะนำสั่งสอนให้เท่านั้นแหละ ตนนั่นแหละ พวกอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายต้องทำเอาเอง แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระสาวกทั้งหลายก็ทำเอาเองทั้งนั้น ตนและทำให้ตน ตนจะออกจากโลกก็แม่นตนตั้งอกตั้งใจทำใส่ตน ตนจะติดอยู่ในโลกก็แม่นใจของตนมาอยากไป เพราะหลงตนหลงตัว

๒. ธรรมทั้งหลาย จะทำดีทำกุศลก็ใจนี่แหละเป็นผู้ถึงก่อน เป็นผู้ถึงพร้อม จะทำบาปอกุศลก็ใจนี่แหละ จะผ่องแผ้วแจ่มใสเบิกบานก็ใจนี่แหละ จะเศร้าหมองขุ่นมัว ก็ใจนี่แหละ ใจเศร้าหมองขุ่นมัวแล้วก็ไม่มีความสุขอยู่ในโลก จะอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข ครั้นใจผ่องแผ้วละก็ พระพุทธเจ้าท่านว่า มนะสาเจปนะสันเนนะ บุคคลผู้มีใจผ่องแผ้วดีแล้ว แม้จะพูดอยู่ก็มีความสุข แม้จะทำอยู่ก็มีความสุข ตโตนะ สุขะมัธเนวติ อยู่ที่ไหน ๆ ก็มีความสุข มีความสุขเหมือนเงาเทียมตนไป

๓. ทุกข์เป็นของจริงอันประเสริฐ มันมาจากไหน ค้นขึ้นไปซิ เห็นแต่ว่ามาจากโง่นั่นแหละ ดวงจิตเป็นผู้โง่ มันจึงต้องเป็น ต้องเดือนร้อน มันจึงใคร่ มันจึงปรารถนา มันจึงอยากเป็นนั่นเป็นนี่ มันไม่อยากเป็นนั่นเป็นนี่เพราะเกลียด เพราะชัง มันชังมันก็ไม่อยากเป็น แล้วก็หาของมาแก้ไข หาคิดอีหยังมาทา หนังเหี่ยวก็เอามาทา ลอกหนังออก มันได้กี่วัน มันก็เหี่ยวอย่างเก่า

๔. อวิชชา (เป็นเหตุ) ให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ท่านว่าให้ดับความโง่อันเดียวเท่านั้น ผลดับหมด เพราะธรรมทั้งหลายไหลมาแต่เหตุ ธรรมทั้งหลาย ดีก็ดี ชั่วก็ดี ไหลมาแต่เหตุ คือความโง่ ความไม่เข้าใจ คิดว่าเป็นตัวเป็นตน ก็ได้รับผลเป็นสุข เป็นทุกข์สืบไป ท่านเรียกว่า วัฏฏะ การวน วนไม่มีที่สิ้นสุด

๕. จิตเมื่อทำความชั่วไว้แล้วมันก็ไม่ลืม ใครไม่ต้องการสักคนหมดทั้งนั้นความชั่วบาปกรรม ให้คิดดู นักโทษเขาลักเขาปล้นสะดมแล้ว เขาก็หลบหนีไปซ่อนอยู่ตามป่าตามเขาตามถ้ำตามดง เพราะเขาไม่ปรารถนาจะให้พวกตำรวจไปจับเขา อันนั้นมันก็ไม่พ้นดอก บาปน่ะ

๖. นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย อายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ เห็นรูปมากระทบตา เกิดวิญญาณขึ้นที่นี่ เสียงมากระทบหู เกิดวิญญาณขึ้นที่นี่อีก (ถ้า) รูปดี ก็เกิดความยินดี ชอบใจ เป็นสุขเสทนา อยากได้ (ถ้า) รูปไม่ดี เกลียดชัง เกิดทุกขเวทนา ไม่อยากได้ ก็เป็นทุกขเวทนาขึ้น ตัณหาเกิดขึ้น…..เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นว่าขันธ์ของตน ตัวของกู กูไปอยู่ที่โน่น ก็ไปอยู่ที่นี่ กูเป็นพระ กูเป็นเณร เมื่อมีอุปาทาน ……ก็เป็นเหตุให้อยาก……เป็นเหตุให้เกิดภพ คือกามภพ รูปภพ อรูปภพ เกิดภพแล้วเป็นเหตุให้เกิดชาติ เกิดชาติเป็นเหตุให้เกิดชรา มรณะ เกิดโสกะ ประเทวะ ทุกขโทมนัสอุปายาส ความคับแค้นอัดอั้นตันใจอยู่ในสังขารจักร นี่แหละ (ถ้า) ดับความโง่อันเดียวเท่านั้นแหละ ผลไม่มี ดับเหตุแล้ว ผลก็ดับไปตามกัน

๗. กุลบุตรผู้รักษาศีล ถึงพร้อมด้วยศีลบริบูรณ์แล้ว ย่อมมีความสุข แม้จะเข้าไปคบหาสมาคมกับบริษัทใด ๆ ก็ตาม บริษัทกษัตริย์ก็ตาม บริษัทคหบดีก็ตาม บริษัทสมณพราหมณ์ก็ตาม เป็นผู้องอาจกล้าหาญ ไม่มีความครั่นคร้ามต่อผู้คน เพราะคิดว่าเราบริสุทธิ์ดีแล้ว ถึงไม่มีความรู้ก็ตาม ไม่คิดกลัวว่าคนอื่นเขาจะมาโทษเราว่าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่คิดอย่างนั้น ไม่กลัว แล้วก็เป็นที่รักของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เป็นที่รักแก่สัตว์ทั้งหลายด้วยกัน คนผู้มีศีลดีแล้วย่อมใจเย็น จิตมันหยั่งเข้าไปถึงกัน

ที่มา : อนาลโยวาทะ ธรรมโมวาท ของพระอาจารย์ขาว อนาลโย
วัดถ้ากลองเพล อุดรธานี

วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

(181) คบบัณฑิต เป็นมงคลสูงสุด




การคบบัณฑิต เป็นมงคลสูงสุด
สอนโลกด้วยธรรมเป็นรุ่นสุดท้าย
🔷
เธอผู้กำลังจะเป็น "บัณฑิต" ทั้งหลาย บัดนี้ "ครู" ได้ทราบว่า พวกเธอต่างพากันยินดีพอใจ ในการที่จะจัดแสดงผลงานศิลปนิพนธ์ร่วมกัน "ศิลปะ" อันมีผลมาจากความอุตสาหะ พรากเพียร เรียนรู้ร่วมกันมา จะว่าบากบั่นหรือตรากตรำก็ใช่ เพราะอะไร? ก็เพราะตลอดระยะเวลาอย่างน้อย 4 ปี หรือบางคนก็ 5-6 ปีขึ้นไป ก็ล้วนต้องใช้ความอดทนอย่างยิ่ง และต้องใช้ความพยายามขวนขวายหาความรู้อย่างหนัก ทั้งจากครูอาจารย์ เพื่อน และจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆมากมาย แม้บางครั้งอาจขี้เกลียด พลั้งเผลอหรือประมาทไปบ้าง แต่ในท้ายสุด ก็ต้องกัดฟันเอาใบปริญญานั้นจนได้ เพื่ออะไรกัน? ก็เพื่อประโยชน์แก่ตนเองนั้นประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง ก็เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น อันมีบิดามารดา ญาติพี่น้อง ตลอดจนสังคมโดยรวมสืบไป
อันนี้ ก็นับว่าเป็นความดีเบื้องต้น เพราะเธอได้ทำหน้าที่เรียนในฐานะที่เป็นนักศึกษา จนสำเร็จการศึกษา ต่อไป เธอต้องทำหน้าที่ให้ดียิ่งๆขึ้นไป ด้วยการนำเอาความรู้นี้ไปประกอบอาชีพที่สุจริต เพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว และเมื่อมีความมั่นคงทางครอบครัวแล้ว ต่อไป เธอก็ทำความดียิ่งๆขึ้นไปอีก ด้วยการนำเอาวิชาความรู้ทั้งหลาย ไปสร้างคุณประโยชน์แก่ชุมชน สังคม ประเทศชาติ และชาวโลกต่อไปตามลำดับ เมื่อนั้น จึงจะนับว่า "เธอเป็นคนดีของโลก"
อย่างไรก็ตาม ในฐานะ "ครู" จึงขอทำหน้าที่สอนพวกเธอเป็นวาระสุดท้าย ด้วยการฝากคติธรรมไว้เตือนใจดังนี้
คำว่า "บัณฑิต" ที่เธอกำลังจะเป็นนั้น ยิ่งใหญ่และมีมงคลสูงสุด ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงพุทธโอวาทแก่มนุษย์และเทวดา ณ วัดเชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี ว่า "มงคลสูงสุด" อันเป็นหลักปฏิบัติเพื่อความเจริญก้าวหน้าแห่งชีวิตนั้น มีอยู่ 38 ประการ โดยขอยกเอาข้อความสำคัญในมงคลข้อที่ 1 และข้อที่ 2 จากทั้งหมด 38 ข้อ ตามลำดับ พออธิบายได้ดังนี้
1. อเสวนา จ พาลานํ : การไม่คบคนพาล  เพราะคนพาลมักจะเป็นผู้ที่ชอบ "คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว" กล่าวคือ มักชอบแนะนำผู้อื่นไปในทางที่ผิด ชอบก้าวก่ายการงานผู้อื่น นินทาว่าร้าย ยุแยง กลั่นแกล้ง ทุจริตและเอาเปรียบผู้อื่น มักเห็นผิดเป็นชอบ มักเกเรและโกรธเคืองผู้อื่นเสมอ ไม่มีศีล ไม่มีระเบียบวินัย ไม่เข้าคิว และไม่เคารพกฎหมาย เป็นต้น ดังนั้น "การไม่คบคนพาล จึงเป็นมงคลสูงสุด"
2. ปณฺฑิตานญฺ จ เสวนา : การคบบัณฑิต  เพราะ "บัณฑิต" หมายถึงผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจที่งาม และมีการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง รู้ดีรู้ชั่ว ผู้เป็นบัณฑิตจึงมีลักษณะดังนี้...
1) เป็นคนคิดดี คือ การไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ และมีความกตัญญูรู้คุณ เป็นต้น
2) เป็นคนพูดดี คือ วจีสุจริต พูดจริง ทำจริง ไม่โกหก ไม่พูดหยาบถากถาง นินทาว่าร้ายผู้อื่น
3) เป็นคนทำดี คือ ทำอาชีพสุจริต มีเมตตา กรุณาต่อผู้อื่น อีกทั้ง มี "ทาน ศีล ภาวนา" เป็นปกติวิสัย
หากจะกล่าวโดยรวม ผู้เป็นบัณฑิตมักมีนิสัยในทางที่ดี กล่าวคือ เป็นผู้คิดดี ชอบชักนำผู้อื่นในทางที่ถูกที่ควร ชอบทำในสิ่งที่เป็นธุระและมีประโยชน์ เป็นผู้รับฟังที่ดี ไม่โกรธเมื่อมีผู้ตักเตือน เป็นผู้รู้ระเบียบ สะอาด และเคารพกฎหมาย เป็นต้น ดังนั้น "การคบบัณฑิต จึงเป็นมงคลอันสูงสุด"
ดังนั้น เมื่อเธอทั้งหลาย ได้เป็น "บัณฑิต" แล้ว ก็จงตั้งใจในความดี ด้วยการรักษาคุณธรรมแห่งบัณฑิตไว้ ตามที่ครูได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น จึงจะนับว่า "เป็นผู้มีมงคลอันสูงสุด" และเมื่อนั้น ความเจริญก้าวหน้าแห่งชีวิต ก็จะบังเกิดขึ้นแก่เธอทั้งหลายสืบไป
ท้ายสุดนี้ ครูมีความยินดีพอใจ ในกิจกรรมที่พวกเธอได้ร่วมกันกระทำในครั้งนี้ และขออวยพรให้เธอทั้งหลาย จงประสบความสำเร็จ และขอให้เป็นคนดี มีความสุข ความเจริญ มั่งมีศรีสุข และอายุมั่นขวัญยืนตลอดไป
รักและปรารถนาดี
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐนนต์ สิปปภากุล
อาจารย์ประจำสาขาวิชาทัศนศิลป์
คณะศิลปกรรมและออกแบบอุตสาหกรรม
มหาวิทยาลัยเทคโนโยลีราชมงคลอีสาน
11 เมษายน 2560



วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

(163) ธรรมปฏิบัติสัญจรภายใต้บารมีธรรม หลวงปู่สมใจ ปัญญาวุโธ 2559




ธรรมปฏิบัติสัญจรวาระพิเศษ 
ใต้บารมีธรรม หลวงปู่สมใจ ปัญญาวุโธ
วัดเขาถ้ำเทพพิทักษ์ ต.วังท่าช้าง
อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
4-6 พฤศจิกายน 2559

ท่านทั้งหลาย ระหว่างวันที่ 4-6 พฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา ผู้เขียน ครูบาแกะ และญาติธรรมจากวัดโคกปราสาทอีก ท่าน ประกอบด้วย อุบาสิกาป้าหวัง ปลัดจุ๋ม หนูนา น้องรุ้ง และน้าฝน ได้เดินทางไปกราบและปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่สมใจ ปัญญาวุโธ พระสุปฏิปันโน ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก ณ วัดเขาถ้ำเทพพิทักษ์ ต.วังท่าช้าง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี หลวงปู่ท่านเป็นผู้มีเมตตาต่อทุกคน ท่านแสดงธรรมตามวาระบุคคล และให้โอวาทแนะนำข้อธรรมต่างๆ ที่ตรงกับจริตนิสัย แก่คณะพวกเรานานหลายชั่วโมง พร้อมกับแนะนำให้พวกเราขึ้นไปภาวนาในถ้ำตามอัธยาศัย

ประวัติโดยสังเขป 

หลวงปู่สมใจ ปัญญาวุโธ เป็นชาวยโสธรโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันขึ้น ค่ำ เดือนแปด ปีจอ ตรงกับวันที่ 18 กรกฎาคม 2501 บิดาชื่อนายใหม่ มีศิริ มารดาชื่อนางกอง มีศิริ อุปสมบทเมื่ออายุ 23 ปี ในวันที่ 27 มิถุนายน 2524 ณ วัดวิโสธนาราม ต.ตาดทอง อ.เมือง จ.ยโสธร โดยมีพระเทพสังวรญาณ(หลวงตาพวง) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมธรบัว สันตจิตโต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระประสิทธิ์ โฆสวโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ปัจจุบัน(2559) อายุ 59 ปี 36 พรรษา

หลวงปู่สมใจ ปัญญาวุโธ หรือพระครูสิทธิปัญญาวุธ เป็นลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายของหลวงปู่ขาว อนาลโย และเคยศึกษาธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์และพระอริยเจ้าอีกหลายองค์ อาทิ หลวงปู่ท่อน หลวงตาบัว หลวงปู่จันทา หลวงตาพวง หลวงปู่มหาปราโมทย์ หลวงปู่กูด พระอาจารย์แดงวัดไม้ขาว หลวงปู่เหรียญ หลวงปู่เทศก์ หลวงปู่สิม หลวงปู่เจี๊ยะ และหลวงปู่แหวน เป็นต้น

ธรรมโอวาท 
หลวงปู่สมใจ ปัญญาวุโธ

หลวงปู่เมตตาแสดงธรรมโอวาทแก่คณะพวกเรา ทั้งสองวันนานหลายชั่วโมง ผู้เขียนขอน้อมนำเอาธรรมโอวาทบางส่วนมาเผยแพร่ เพื่อเป็นธรรมทาน เพื่อประโยชน์แก่สาธารณชนทั้งหลาย แม้จะเป็นธรรมสั้นๆ แต่ธรรมโอวาทนั้น ได้กระแทกถึงใจพวกเราอย่างลึกซึ้ง อาทิ

·      คนบางคนแม้จะอยู่ใกล้และจับชายจีวรของพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้า แต่บางคนอยู่ไกลพระพุทธเจ้า กลับได้เห็นพระพุทธเจ้า

·      สถานที่ไหนๆก็ดีพร้อม แต่คนนั้นพร้อมที่จะปฏิบัติจริงหรือยัง

·      ดูคนอย่าดูแค่ตอนเป็นหนุ่มสาว ให้ดูตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ จนกระทั่งตาย

·      ให้ปิดประตูกิเลส อย่าเปิดหลายประตู เปิดเพียงประตูเดียว จึงจะรู้ทันกิเลสได้ (ผู้เขียน : อายะตะนะทั้งหก เป็นประตูแห่งกิเลส ให้ปิดประตูทวารเหลือเพียงประตู "ใจ" อันเดียว ให้กิเลสมันเข้ามาทางใจอันเดียว จึงจะรู้ทันกิเลสได้)

·      การภาวนาถ้าทำบ่อย ๆ จะเกิดความชำนาญ เหมือนเราปั่นจักรยานนั่นแหละ ถ้าปั่นเป็นหรือฝึกปั่นจนชำนาญก็ปั่นได้คล่องแคล่ว

·      เวลานั่งดูหนัง นั่งเล่นไพ่ ไม่ต่างกันนะ นั่งภาวนาได้ ชั่วโมง ไม่ต้องแปลกใจ นั่งเหมือนกัน เพียงแค่เราทำความเพียรต่างกัน เพียรทำชั่วหรือเพียรทำดี เลือกเอา

·      จะตกขอบถนนอยู่แล้ว ยังบอกว่าทางสายกลางอีก กลางกิเกสนั่นแหล่ว



ภูมิที่ดีมีคุณต่อการภาวนา

ในการมาปฏิบัติภาวนาของคณะพวกเรา ณ วัดเขาถ้ำเทพพิทักษ์ในครั้งนี้ มีความอัศจรรย์เป็นปัจจัตตัง รู้เห็นเฉพาะตนเกิดขึ้นหลายอย่าง อาทิเช่น อุบาสิกาแห่งวัดโคกปราสาท ท่านเล่าให้ฟังว่า คืนแรก ขณะที่พวกเราภาวนาอยู่ในถ้ำมุจลินท์นิมิตรัตนมณี มีพญานาคหนุ่มตนหนึ่ง เข้ามาแอบมองสาวๆในคณะพวกเรา ตามจริตนิสัยของโลก แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็อยู่ในอาการสำรวม และอนุโมทนากับคณะของพวกเรา

ต่อมาในคืนที่สอง ขณะที่คณะอุบาสิกาแห่งวัดโคกปราสาท ได้ไปพักภาวนาอยู่ในถ้ำมืด ว่ากันว่า เป็นถ้ำที่หลวงปู่สมใจ ท่านอาศัยภาวนาอยู่นานถึง ปี ในถ้ำแห่งนี้ มีญาติธรรมบางท่านเห็นดวงธรรมสว่างไสวลอยอยู่ในถ้ำ ส่วนอุบาสิกาแห่งวัดโคกปราสาทเล่าให้ฟังว่า มีพรหมเทวดาจำนวนมากมาปรากฏกายให้เห็น บางส่วนก็มาสนทนากับท่าน และมีเทวดาผู้มีทิฏฐิบางตนสงสัยว่า พวกท่านพากันมาทำอะไรในสถานที่แห่งนี้ อุบาสิกาตอบว่า

"พวกเราขออนุญาตหลวงปู่มาภาวนาในถ้ำนี้แล้ว พวกเรามาเพียร เพื่อละกิเลสออกจากใจ มิได้มีดีมาอวดเก่งเบ่งใส่ผู้ใด มีแต่ความปรารถนาที่อยากจะพ้นทุกข์ จึงได้พากันมาอาศัยสถานที่แห่งนี้ ด้วยอาศัยบารมีธรรมของหลวงปู่ เพื่อหาทางพ้นทุกข์เท่านั้น" เมื่อเทวดาทราบในเจตนาที่แท้จริงแล้ว ต่างก็พากันอนุโมทนาสาธุการ






อัศจรรย์ในมหาทาน

ท่านทั้งหลาย ในเช้าวันที่ พฤศจิกายน 2559 อันเป็นวาระวันถวายผ้ากฐินประจำปีนี้ของวัดเขาถ้ำเทพพิทักษ์ ขณะที่มีพิธีใส่บาตรแด่หลวงปู่สมใจ ปัญญาวุโธ และพระภิกษุสงฆ์ บุรุษผู้หนึ่งได้น้อมจิตอธิษฐาน เพื่อถวายข้าวใส่บาตรให้เป็นมหาทาน เพื่ออุทิศแด่สรรพวิญญาณและผู้มาร่วมในงานพิธีนี้ โดยการปฏิบัติตามที่หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร พระสุปฏิปันโนแห่งวัดโคกปราสาท เคยบอกสอนไว้ โดยการอธิษฐานว่า

"ทานที่ข้าพเจ้า แม้จะเป็นข้าวสุกเพียงเล็กน้อย ไม่มีค่ามากมาย แต่เต็มไปด้วยศรัทธา ขอให้หลวงปู่และผู้รับทาน เมื่อรับแล้วจงพิจารณา เมื่อพิจารณาแล้วจงจำแนกแจกแจงทานนี้ แด่สรรพวิญญาณทั้ง 31 ภพภูมิ ทั้งที่อยู่ในบริเวณนี้ และทั่วทั้งสามแดนโลกธาตุ หมื่นโลกธาตุ ทั่วทั้งจักรวาลไปถึงอนันตจักรวาล เมื่อจำแนกแจกทานแล้ว ไม่ว่าโลกนี้และโลกหน้า ขอให้ได้รับถ้วนทั่วกันเทอญ"

เมื่ออธิษฐานจิตจบลงแล้ว บุรุษผู้หนึ่งมีโอกาสได้ใส่บาตรหลวงปู่เป็นบุคคลแรก เสมือนเป็นความดลใจ เมื่อข้าวตกลงถึงก้นบาตรของหลวงปู่แล้ว พลันคลื่นปีติยินดีได้แผ่ซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์อย่างรวดเร็ว ประหนึ่งว่าพรหมเทวาและสรรพวิญญาณทั้งหลาย ต่างกล่าวสาธุการในมหาทานครั้งนี้ ความรู้สึกนี้ มันเกิดปีติรับรู้อยู่ภายในใจ เสมือนเป็นการยืนยันในมหาทาน มหาทานที่ได้ใส่บาตรพระอริยเจ้า ดั่งที่หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร บอกไว้ทุกประการ ความอัศจรรย์ที่ว่านี้ มันเป็นปัตจัตตัง จะจริงหรือเท็จประการใด ผู้เขียนมีปัญญาน้อย ก็ขอให้ท่านทั้งหลาย จงพิจารณากันเอาเองเถิด






วาจามหามงคล

ก่อนกลับ ชาวคณะศิษย์วัดโคกปราสาท ได้เข้าไปกราบลาหลวงปู่สมใจ ปัญญาวุโธ ขณะที่บุรุษผู้หนึ่งได้ก้มลงกราบที่ตักของหลวงปู่ จิตมันสะเทือน เสมือนว่าเคยเป็นพ่อลูกกันมาก่อน อยากจะสวมกอดท่าน แต่ก็อดกลั้นไว้ในฐานะอันควร ส่วนหลวงปู่ท่านก็มีเมตตาจับลูบคลำศรีษะของบุรุษผู้นี้ไปมาอยู่นาน พร้อมกับเอ่ยวาจาอันเป็นมหามงคลว่า

..."ได้บวชแน่ๆ บวชใจมานานแล้วนี่ นี้กายก็พร้อมแล้ว ได้บวชแน่ๆ"...

วาจาอันเป็นมหามงคลนี้ หลวงพ่อฉลวย อาภาธโร แห่งวัดโคกปราสาท ท่านก็ได้พยากรณ์ และให้สัญญาณแก่บุรุษผู้นี้ไว้ก่อนแล้ว ก็คงอีกไม่นาน ความจริงจะได้ปรากฏขึ้นภายในปีสองปีนี้

อนึ่ง... บุรุษผู้หนึ่งได้สนทนาธรรม แลกเปลี่ยนความรู้เห็นกับพระสุปฏิปันโน ผู้เป็นอาคันตุกะในกุฏิรับรอง ต่างก็อัศจรรย์ในสภาวะแห่งกระแสธรรมที่เข้าถึงในภูมิต่างๆ ของกันและกัน และไม่สงสัยในภูมิธรรมอันเป็น "สุปฏิปันโน" ของท่าน เพราะธรรมเป็นอันเดียวกัน จึงนับเป็นความรู้ความเห็นและประสบการณ์ที่ดีอีกวาระหนึ่ง

"ใจถึงใจ ใจถึงธรรม ธรรมถึงใจ"

ขอเจริญในธรรม
ดร.นนต์
พฤศจิกายน 2559